การสวดภาวนา
คัดลอกจากหนังสือ"ความเชื่ออันเป็นชีวิต" โดย พงศ์ ประมวล
เข้าวันหนึ่งขณะที่บรรดาอัครสาวกตื่นขึ้นมาและไม่พบพระเยซูเจ้า
ก็เดินตามหาพระองค์
และพบพระองค์พบภูเขาจึงถามว่าพระองค์เสด็จมาทำอะไร
พระเยซูเจ้าจึงตรัสตอบว่า"
มาสวดภาวนา "
บรรดาอัครสาวกจึงขอพระเยซูเจ้าสอนพวกเขาให้รู้จักภาวนาบ้าง
พระเยซูเจ้าจึงสอนพวกเขาให้สวด
ซึ่งต่อมาบทสวดนี้ได้เป็นบทภาวนาที่สำคัญ
ที่คริสตชนทั่วโลกยังคงสวดอยู่เสมอในทุกวันนั่นคือ"
บทข้าแต่พระบิดา"
มิใช่เช้านั้นเช้าเดียวแต่ในพระคัมภีร์มีเขียนเล่าว่า
พระเยซูมักใช้เวลาเงียบๆคนเดียวสวดภาวนาเสมอ
แม้พระองค์จะมีภารกิจมากเพียงใดในการการเทศน์สอนและรักษาคนเจ็บป่วย
แต่ก็ยังคงใช้เวลาในช่วงวันในการสวดภาวนาบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
การภาวนา
คือการยกจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้าเพื่อสนทนากับพระองค์
มีอยู่สองลักษณะ คือ
การภาวนาจากใจ หมายถึงการสวดภาวนาส่วนตัวโดยการพูดกับพระเป็นเจ้าในใจ คิดถึงพระองค์ บางครั้งออกมาในรูปแบบการอ่านพระคัมภีร์ และรำพึงไตร่ตรองพระวาจาของพระที่ตรัสกับเราในพระคัมภีร์ การภาวนาจากใจเช่นนี้ต้องมีการฝึกหัดและพัฒนาจิตใจให้จดจ่อกับพระเป็นเจ้าเสมอ ผู้ที่พัฒนาจิตใจและหมั่นสวดภาวนาอยู่เสมอในชีวิตประจำวัน จะภาวนาได้ง่ายขึ้นแม้เวลาทำงาน,บนรถเมล์หรือที่ไหนก็ได้เขาก็สามารถยกจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้าเสมอ
การภาวนาตามบทสวดที่พระศาสนจักรแต่งขึ้น หมายถึงการภาวนาที่บางครั้งเราไม่ทราบว่าจะพูดว่าอะไร หรีอสวดอย่างไรกับพระเป็นเจ้า ก็มีบทภาวนาที่พระศาสนจักรแต่งไว้ ให้เราได้สวดตามบทสวดนั้น ขณะสวดก็คิดตามความหมายของเนื้อหาของบทสวดที่แต่งไว้เช่น บทข้าแต่พระบิดาของข้าพเจ้าทั้งหลาย เป็นบทที่พระเยซูสอนเราในพระคัมภีร์,บทวันทามารีอาเป็นบทที่เราใช้สรรเสริญพระเป็นเจ้าผ่านทางพระนางมารีอา,บทเยซูมารีอายอแซฟ คริสตชนจะสวดบทภาวนาต่างๆเหล่านี้ขึ้นใจตั้งแต่เป็นเด็กและมีโอกาสสวดภาวนาร่วมกับตริสตชนอื่นๆเมื่อประกอบศาสนกิจ ร่วมกันก็จะเปล่งเสียงสวดภาวนาเหล่านี้ด้วยกันอย่างพร้อมเพรียง
คริสตชนสวดบทภาวนาบ่อยๆ
ตลอดช่วงวัน
หมายถึงเมื่อถึงเวลาว่างก็จะยกจจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้า
และสวดสมํ่าเสมอ เมื่อตื่นนอน
จะสวดภาวนาถวายวันนี้แด่พระเป็นเจ้า
เพื่อช่วยเหลือเราในการดำเนินชีวิตตามนํ้าพระทัยของพระองค์
ก่อนเข้านอน
ก็จะพิจารณามโนธรรม
ว่าวันที่ล่วงมานั้นได้ทำบาปหรือข้อบกพร่องอะไรบ้าง
อาจพิจารณาจากพระบัญญัติของพระเป็นเจ้า
10 ประการ พระบัญญัติ 4
ประการของพระศาสนจักรและขอโทษต่อพระเป็นเจ้า
เสียใจที่ได้กระทำบาปพร้อมทั้งตั้งใจว่าจะไม่ทำอีก,ยกถวายกิจการทั้งวันนั้นแด่พระเป็นเจ้าตลอดจนชีวิต,ปัญหา,
ครอบครัวให้พระองค์ดูแลรักษา
เพื่อพรุ่งนี้พระเป็นเจ้าจะได้อวยพรให้ตื่นขึ้นด้วยความสดชื่น
เพื่อออกไปทำหน้าที่ประจำวันของเราได้อีก
การสวดภาวนาอุทิศแก่ผู้อื่น
ที่ต้องการความคำภาวนาช่วยเหลือ
เช่น วิญญาณที่ล่วงลับไปแล้วและต้องไปใช้โทษบาปก่อนจะไปอยู่กับพระเป็นเจ้าบนสวรรค์เพราะว่ามีบาปเบาติดวิญญาณ
เรียกว่า วิญญาณในไไไฟชำระ
การสวดภาวนาชดเชยบาปให้พวกเขาพ้นโทษโดยเร็ววัน,การสวดภาวนาให้แก่ผู้เจ็บไข้ป่วยได้ป่วยที่ถูกโรคร้ายคุกคาม
จะได้มีกำลังใจยอมรับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้น,การสวดภาวนาให้แก่ผู้ที่หลงผิดไปแล้วจะได้กลับใจ
เปลี่ยนแปลงชีวิตในทางที่ดีขึ้น,การสวดอุทิศให้สันติภาพของโลก
จะเห็นได้ว่าการภาวนาเป็นสายสัมพันธ์ระหว่างพระและมนุษย์
หากจะถามว่าคริสตชนเลิกเป็นคริสตชนเมื่อใด?
คำตอบก็คือ เมื่อใดที่คริสตชนเลิกสวดก็เริ่มที่จะเลิกเป้นคริสตชน
เพราะคำภาวนาคือความสัมพันธ์กับพระเป้นเจ้าตลอดเวลา
แม้ก่อนจะรับประทานอาหารหรือหลังรับประทานอาหารก็สวดโมทนาคุณพระเช่นกัน
ชีวิตคริสตชนจึงมองพระเป็นเจ้าในแง่ความสัมพันธ์
อาจกล่าวได้ว่าศาสนาคริสต์
นิกายโรมันคาทอลิก ที่พูดถึงศาสนกิจมาทั้งหมดนั้น
มองว่าศาสนาคือ
ความสัมพันธ์กับพระเป็นเจ้าที่คริสตชนมีกับพระองค์วันละเล็กวันละน้อย
ไม่เคยลืมเลือนกัน คริสตชนมิอาจเอาศาสนามารับใช้ชีวิตเราได้
หมายความว่าพอมีปัญหาทีหนึ่งก็วิ่งเข้ามาสวอขอทีหนึ่งพอได้แล้วก็เลิกกัน
การมาสวดขอความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้าสำหรับคริสตชนเป็นไปในแง่ที่ว่า
เรากับพระเป็นเจ้ามีความสัมพันธ์อยู่เสมอ
รักกันคิดถึงกันตลอดเวลาและเมื่อวันที่เรามีปัญหา,มีอุปสรรคในชีวิต
เรานึกถึงคนที่เราใกล้ชิดที่สุดเป็นคนแรก
นั่นก็คือพระเป็นเจ้าผู้ที่เรารักและมีความสัมพันธ์กับพระองค์เสมอทุกวันเวลาอยู่แล้ว
คริสตชนยังเชื่ออีกว่าความเชื่อมีการพัฒนา
ความเชื่อของผู้ที่มาสวดขออาจเป็นความเชื่อแบบเด็กๆที่เมื่อเป็นเด็กก็ได้แต่ขอ,ผู้ใหญ่สวดครั้งใดก็ขอในสิ่งที่ตัวเองต้องการ
แต่เมื่อเราปฏิบัติศาสนกิจ,อ่านพระคัมภีร์,รำพึงภาวนาและใส่ใจในข้อคำสอนมากขึ้น
ความเชื่อก็ค่อยๆเติบโตขึ้น
คล้ายกับเมล็ดพืชที่ค่อยๆหยั่งรากและแตกออกเป็นลำต้น
สักวันหนึ่งเมล็ดพันธ์แห่งความเชื่อที่พระได้หว่านไว้ในจิตใจของเราโตขึ้น
คำภาวนาของเราก็เปลี่ยนไป
เรามิได้สวดเพื่อขอเพียงข้าวของเงินทองอีกต่อไปแล้ว
แต่เราสวดให้ชีวิตเราเป็นไปตามนํ้าพระทัยของพระเป็นเจ้า
เพราะไม่มีสักสิ่งเดียวที่พระประทานมาให้เราเป็นสิ่งเลว
คริสตชนจึงไม่ได้สวดให้เราสบายแต่สวดขอให้เรามีหัวใจแข็งแกร่งสามารถรับเรื่องทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาในชีวิตได้