พลังงานนั้นปรากฏอยู่ล้อมรอบตัวคุณ
มันอยู่ในรูปของความคิดและความรู้สึกที่ผู้คนรอบข้างแสดงออกมา
นอกจากนี้โดยตัวของโลกเองก็แผ่พลังออกมาด้วย
ไม่ว่าจะจากแผ่นดิน
ต้นไม้ และสัตว์ทั้งหลาย..
แต่ละสถานที่บนโลกล้วนมีพลังที่ผิดแผกแตกต่างกัน
รวมทั้งเพื่อนบ้านแต่ละคน
ชุมชนแต่ละแห่ง..
ท่าทีแห่งจิตใจอันสูงส่งก็มีพลังงานที่แตกต่างจากจิตใจคับแคบ..
เมืองใหญ่ให้พลังผิดแผกจากเมือเล็ก
ในจักรวาลของคุณนั้นทุกสิ่งทุ่งอย่างล้วนมีชีวิต
และคุณสามารถเรียนรู้ที่จะสัมผัสพลังที่แผ่ออกมาได้..
คุณคือเครื่องมือที่ถูกออกแบบมาอย่างยอดเยี่ยมกล่าวคือสามารถสัมผัสพลังได้หลายรูปแบบ
เช่นการสัมผัสด้วยตา
การมองเห็น การได้ยิน
ความรู้สึก การได้กลิ่น
ความคิดและความรู้สึกทางกาย
คุณสามารถเข้าใจจักรวาลในวิถีทางที่จะหยิบยื่นข้อมูลอันมีค่ามาให้
..
รวมทั้งปรับคลื่นเข้าสู่พลังของผู้คนในระดับกายภาพ
อารมณ์หรือจิตใจ
ด้วยการฝึกหัดอย่างง่ายๆ
คุณสามารถเรียนรู้วิธีปรับคลื่นเข้าไปหาใครก็ตาม
ไม่ว่าบุคคลดังกล่าวจะปรากฏกายอยู่หรือไม่มิใช่ปัญหา
..
คุณสามารถค้นพบรูปแบบความคิดของผู้คน
ความเชื่อภายในจิตใจ
และแม้แต่การร่ำร้องขอความช่วยเหลือของพวกเขา
จงตระหนักว่าคุณไม่อาจล่วงละเมิดความเป็นส่วนตัวของผู้คน
ในที่ซึ่งจิตวิญญาณของพวกเขาไม่ปราถนาจะแสดงออกมาให้เห็น
อย่างไรก็ตาม
สำหรับจิตวิญญาณแล้ว
สามารถปิดกั้นสิ่งที่ไม่ต้องการเปิดเผยเอาไว้มิให้ใครเห็นได้เสมอ..
คุณสามารถกลายเป็นผู้ตระหนักถึงความคิดและอารมณ์ความรู้สึกของผู้อื่น
แม้แต่ถ้าต้องการ..
ก็สามารถล่วงรู้เหตุการณ์แห่งอนาคตในระดับที่คุณไม่เคยคิดฝันว่ามันจะเป็นไปได้
การเข้าถึงสิ่งที่กำลังดำเนินอยู่รอบตัวในวิถีทางที่อนุญาตให้คุณตีความและใช้ประโยชน์จากข้อมูลนั้น
คุณจำเป็นต้องมีท่าทีแห่งจิตใจและความชำนาญที่แน่นอน
ซึ่งทั้งหมดสามารถเรียนรู้ได้อย่างง่ายดาย
ถ้าคุณปรารถนาที่จะฝึกฝนและให้ความสนใจอย่างแท้จริง..
ยิ่งตระหนักถึงพลังผู้อื่นมากเพียงใด
ก็สามารถเข้าใจการชี้นำภายในของตัวเองมากเพียงนั้น
ยิ่งสามารถสัมผัสกับพลังมากเท่าใด
คุณก็สามารถได้ยินการชี้นำภายในและภูมิปัญญาที่สูงล้ำกว่ามากเท่านั้น
ขั้นตอนต่อไปก็คือตระหนักถึงสิ่งที่บุคคลอื่นกำลังส่งมาให้คุณ
ตระหนักถึงอนาคตที่คุณกำหนดให้กับตนเอง
และเรียนรู้ที่จะมองให้เห็นว่าพลังของคุณส่งผลกระทบต่อผู้อื่นอย่างไร..
เพราะคุณเองก็กำลังส่งกระแสความคิดและภาพต่างๆ
ไปยังผู้อื่นอยู่เสมอ..
จึงเป็นความสำคัญอย่างยิ่งในการมีสติระลึกรู้ภาพลักษณ์ที่กำลังส่งออกไปให้พวกเขา
...
ถ้าคุณต้องการตระหนักต่อสภาวะความเป็นจริงที่ดำรงอยู่คุณสามารถส่งรูปแบบการบำบัดรักษาให้กับตัวคุณเอง
ด้วยการสร้างจินตนาการและบำบัดผู้อื่นโดยการส่งรูปแบบการบำบัดรักษาไปให้
..
ความชำนาญแรกในการพัฒนาประสาทสัมผัสพลังงานคือ
คือความสามารถในการตั้งมั่นความสนใจ
จงเรียนรู้วิธีสำรวจตรวจสอบผู้อื่นด้วยการทำตัวให้สงบ
ซึ่งมันก็คล้ายกับการนั่งลงที่เบื้องหลังห้องและเฝ้ามองสิ่งต่างๆ
ดำเนินไปนั่นเอง..
เริ่มต้นด้วยการสำรวจขอบเขตใดๆ
ก็ตามที่คุณต้องการได้รับข้อมูลมากขึ้น
ขณะที่คุณคิดอย่างมุ่งมั่นเกี่ยวกับบางสิ่ง
คุณจะรับข้อมูลมากขึ้น
ขณะที่คุณคิดอย่างมุ่งมั่นเกี่ยวกับบางสิ่ง
คุณจะเริ่มได้รับแนวคิด
การชี้แนะ ชักนำ
และความคิดใหม่
เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว
หลังจากที่คุณหยุดและให้ความสนใจ
ขั้นตอนต่อไปคือการเสแสร้งแสดงท่าทีแห่งความเชื่อมั่น
และไว้วางใจต่อข้อมูลที่กำลังได้รับ
เมื่อคุณเริ่มปรับคลื่นเข้าสู่อนาคตของตัวเอง
หรือของผู้อื่นคุณอาจคลางแคลงสิ่งที่กำลังได้รับ
และประหลาดใจว่า..
คุณปั้นแต่งมันขึ้นมาเองหรือไม่
ตราบเท่าที่มันมิได้หยุดยั้งความก้าวหน้าเอาไว้ละก็..
ความคลางแคลงพะวงสงสัยก็เป็นของดี
ถ้ามันผลักดันให้สิ่งที่คุณสัมผัสอยู่นั้นถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น
จงเริ่มต้นด้วยความเชื่อมั่นในสิ่งที่คุณกำลังได้รับ..
ขณะที่คุณนั่งอย่างสงบและร้องขอการมองเห็นสิ่งที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า
ในขอบเขตที่แน่นอนหนึ่งแห่งชีวิต
จะคิดถึงการตัดสินใจที่คุณต้องการกระทำ
หรือแนวทางปฏิบัติที่ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม
แล้วชิ้นส่วนแห่งข้อมูลจะปรากฏให้เห็น...
ความตั้งมั่นที่จะล่วงรู้อนาคตได้ส่งจิตใจของคุณไปยังอนาคตกาล
และมันจะนำข้อมูลกลับมาให้
บางครั้งข้อมูลข่าวสารอาจปรากฏในฐานะความรู้สึกอันลางเลือน
อย่างเช่นความรู้สึกปลื้มปิติหรืออึดอัดไม่สบายใจ...
จงคาดหวังสิ่งที่จะพบ
เพราะเป็นความสำคัญอย่างยิ่งเช่นกันที่จะไม่ไปตัดสินความพยายามเริ่มแรก
ควรปล่อยให้ความประทับใจใดก็ตามเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ
เมื่อคุณเริ่มได้รับความประทับใจต่างๆ
จงลอยอยู่เหนือการตัดสินชี้ขาด
อย่าตั้งคำถามเป็นเชิงวิพากษ์วิจารณ์ว่า
"สิ่งนี้ถูกหรือผิด?
ฉันเพียงแค่คิดไปเองใช่ไหม?
" อะไรทำนองนี้
เพราะนั่นจะไปหยุดยั้งสิ่งประทับใจที่กำลังจะปรากฏขึ้น..
จงปล่อยให้ความประทับใจดำเนินต่อไปอย่างไหลเลื่อน
คุณอาจต้องการจดบันทึกมันเอาไว้
เพราะจะพบในเวลาต่อมาว่าสิ่งที่ดูเหมือนชัดแจ้งและธรรดาสามัญขณะที่ปรากฏขึ้นในจิตใจนั้นบ่อยครั้งที่มีความลึกล้ำแฝงอยู่
เมื่อคุณมิได้รับข้อมูลสะท้อนกลัมา
ข้อมูลสะท้อนกลับคือภาวะความเป็นจริงแห่งตัวคุณที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะในโลกของเรานี้
การกระทำก่อให้เกิดความสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะในโลกของเรานี้
การกระทำก่อให้เกิดการตอบโต้
และมันเป็นความสำคัญสำหรับความสามารถในการเฝ้าสังเกตปฏิกิริยาสนองตอบที่การกระทำของคุณก่อให้เกิด
ถ้าคุณปรับเข้าสุ่คลื่นพลังงาน
และเริ่มต้นรับข้อมูล
ความคิดและความรู้สึกกลับมา
.. จงบันทึกสิ่งต่างๆ
ดังกล่าวเอาไว้
ไม่แน่ว่าหลายเดือนจากนี้ไปคุณอาจจะประหลาดใจที่ได้เห็นว่า
ความประทับใจเหล่านี้เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ
และสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณจริงๆ
ก็ได้
มันเป็นแนวทางที่ดีประการหนึ่งในการเปิดกว้างการสดับรับรู้ของคุณ
คุณสามารถสัมผัสพลังได้ตามระดับความรักและการเปิดกว้าของหัวใจ
ขณะที่คุณปรับคลื่นเข้าสู่ผู้อื่น
จงเปิดกว้างจิตใจ
และโอบอุ้มพวกเขาไว้ด้วยแนวคิดที่ประกอบด้วยพื้นฐานของความรัก
.. มิใช่วิพากษ์วิจารณ์ ..
คือมอบความรักความหวังดีให้..
เพื่อก่อเกิดพลังทางสร้างสรรค์
ลองนึกภาพผู้ที่ปราศจากความรักและชอบนินทาว่ากล่าว
ปรับคลื่นเข้าไปในพลังงานของใครบางคนดู...
บุคคลอื่นจะไม่เปิดเผยข้อมูลใดๆ
ให้ปรากฏ (แม้ระดับใต้สำนึกก็ตาม)
เพราะพลังวิพากษ์วิจารณ์นั้นจะให้ความรู้สึกเฉกเช่นการล่วงล้ำก้าวร้าว..
จากนั้นจินตนการจิตวิญญานที่อ่อนโยน
นุ่มนวล
เต็มไปด้วยความรักที่กำลังแสวงหาข้อมูล
บุคคลอื่นจะเปิดกว้างให้กับความรักและความอบอุ่นดังกล่าว
..
ขณะที่เริ่มต้นสัมผัสพลังงาน
คุณจะไม่เพียงแค่ค้นพบความเจ็บปวดและความยุ่งเหยิงในตัวผู้อื่นเท่านั้น
.. แต่จพบกับระบบความเป็นจริงอัดผิดแผกแตกต่างซึ่งไม่สอดคล้องกับของคุณเองด้วย..
ถ้าคุณเข้าถึงผู้คนด้วยความเมตตา
เห็นอกเห็นใจและผ่อนปรน
คุณก็สามารถรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ได้มากยิ่งขึ้น
เพราะผู้คนจำนวนมากต่างตระหนักถึงพลังอย่างเฉียบไว
อย่างไรก็ตาม
เมื่อพวกเขาสัมผัสบางสิ่งที่มิได้สอดคล้องกับสภาวะความเป็นจริงที่ตัวเองรู้จัก
ไม่ผสานผสมกับวิถีชีวิตที่เชื่อว่ามันควรจะเป็น
พวกเขาก็จะปรับคลื่นหันเหออกไป..
ถ้าต้องการที่จะรับรู้ถึงพลังของพวกเขาอย่างถูกต้องแม่นยำ
คุณจึงจำเป็นต้องยินดีที่จะเข้าใจว่า
ผู้คนมากมายมีความคิดที่แตกต่าง
เชื่อในสิ่งที่ผิดแผกไปจากคุณ
โดยมิได้ทำให้พวกเขาเป็นฝ่าย
.. การผ่อนปรน
หมายถึงคุณสามารถยอมรับทัศนคติที่แตกต่างหลากหลาย
และรักผู้คนอย่างที่พวกเขาเป็น
ถ้าคุณสมัครใจเป็นผู้ผ่อนปรน
อดทนอดกลั้น
ระงับความโกรธ
คุณก็สามารถเที่ยวท่องไปในการผจญภัยอันยิ่งใหญ่ได้..
แต่ละบุคคลมีวิถีทางที่ไม่เหมือนใครในการมองโลก
ถ้าคุณสามารถค้นพบสิ่งที่ไม่เหมือนใคร
สิ่งที่เป็นอิสระ.. เปิดกว้าง..
เข้าใจและยอมรับความคิดอันแตกต่าง..
ความน่ารักของทุกผู้ทุกคนที่พบปะและรู้จัก
คุณจะค้นพบวิถีทางใหม่ซึ่งอาจทำให้คุณมีอิสรภาพ
เปิดกว้าง..
ทางความคิดและน่ารักมาขึ้น
...
มันน่าประทับใจอย่างยิ่งในการค้นพบแนวทางต่างๆ
ที่ผู้คนทำความเข้าใจโลก
ขณะที่คุณเปิดกว้างสู่ความเชื่อต่างๆ..
มากมายนั้น
ตัวคุณเองจะปรับเปลี่ยนได้มากขึ้น..
และขัดแย้ง
แข็งขืนน้อยลง..
ส่วนการเพิ่มพูนความสว่างไสวให้ชีวิตตัวเอง
จงเป็นผู้ที่ยืดหยุ่นและยอมรับ
ไม่ว่าทัศนคติใดก็ตามที่เหมาะสมกับผลลัพธ์ที่สุดปรารถนา
..
ผู้คนส่วนใหญ่ล้วนถูกกักขัง..
อยู่ในกฏเหล็กที่แปลงเปลี่ยนได้ของชีวิตตนเอง
พวกเขาถูกสอนว่าโลกนั้นจัดการในวิถีทางที่แน่นอนอย่างหนึ่ง
และนั่นคือวิถีทางที่พวกเขามองมัน..
หรือยึดมั่นกับวัตถุและวิทยาศาสตร์มากเกินไป..
ซึ่งความยืดหยุ่นไม่ได้นี้เองที่ทำให้พวกเขาหลงเหลือขอบเขตแห่งอิสรภาพและโอกาสน้อยลง..
น้อยลงทุกที
คุณเคยเห็นผู้คนที่ชะงักงันอยู่ในสภาพดำเนินชีวิตที่จำเจมาแล้ว..
พวกเขาไม่สมัครใจที่จะเปลี่ยน
แม้ว่าชีวิตจะไม่ราบรื่นนักก็ตาม..
ผู้คนเหล่านี้อาจไม่ล่วงรู้เกี่ยวกับพลังงานของบุคค,
และมองทุกสิ่งทุกอย่างในโลก
มิใช่ฐานะที่พวกเขาส่งผลกระทบต่อมัน..
แต่ในฐานะที่มันมีอิทธิพลต่อพวกเขา..
พวกเขามองโลกในฐานะที่มันโคจรอยู่รอบตัว..
รอบดวงอาทิตย์
เพราะการมองเช่นนี้
บ่อยครั้งจึงรู้สึกไร้พลังอำนาจในการแปลงเปลี่ยนสิ่งต่างๆ
ให้บรรลุผลท่ต้องการ.. .
เพราะว่าพวกเขาทึกทักว่าตนเองเป็นศูนย์กลางแห่งจักรวาล
จึงมักไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นและปฏิกิริยาสนองตอบอะไรก็ตาม..
ที่พวกเขาก่อเกิดจากการกระทำ
และพฤติการณ์ของตนเอง
ถ้าคุณต้องการชักนำพลังในชีวิต
ถ้าคุณต้องการมองโลกที่พำนักอาศัยอยู่อย่างชัดเจน
คุณจะเป็นต้องสมัครใจที่จะพิจารณาชีวิตจากมุมมองของผู้อื่น
ซึ่งอาจแตกต่างจากของคุณเองอย่างสิ้นเชิง..
ขณะที่คุณทำเช่นนั้น
จงเปิดใจให้กว้างและไม่มีการตัดสินชี้ขาด..
พร้อมกับประคับประคองประสาทสัมผัสแห่งการผจญภัญความรัก..
และการค้นพบเอาไว้ให้มั่น....
จินตนาการคือเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการสัมผัส
ความสามารถอย่างอื่น
ที่คุณสามารถใช้ในการสัมผัสพลังก็คือจินตนาการของคุณนั่นเอง..
คุณได้รับการหยิบยื่นจินตนาการไว้ให้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆ
กว้างใหญ่ไพศาลไร้ของเขต
ไร้รูปแบบ..
โดยโครงสร้างแห่งความเชื่อ..
และความตระหนักในพลังของตนเอง..
มันเป็นหนึ่งในวิธีการยอดเยี่ยมที่สุดในการสัมผัสพลังงาน
ดังนั้นขณะจินตนาการ
คุณจึงเชื่อมโยงกับสิ่งที่สูงล้ำและละเอียดลึกซึ้งกว่า..
จินตนาการนั้นไม่มีเขตแห่งเวลาและระยะทาง..
มิได้ถูกจำกัดด้วยร่างกายของคุณ
เมื่อสร้างสิ่งต่างๆ
ขึ้นมา
บ่อยครั้งที่คุณทำมันด้วยความรู้สึกเริงรื่น
สบายใจ .. สงบ..
ในสภาวะแห่งการผ่อนคลาย
สิ่งนี้คือสภาวะหนึ่งของสัญชาตญาน
อย่างไรก็ตาม
จินตนาการสามารถนำไปใช้ในการสร้างความหวาดกลัวได้ด้วย
อย่างเช่น ..
สร้างภาพคนรักของคุณควงคู่กับผู้อื่น..
วิตกังวลว่ากำลังตกงานหรือหวาดหวั่นว่าจะติดโรคจากใครบางคน..
ฯ
แต่เป็นการดีว่าหากใช้จินตนาการไปในการเสแสร้งว่าคุณทราบถึงสิ่งที่กระทำ
หรือในการสร้างภาพของผู้คนที่รักใคร่
ชื่นชมคุณ
หรือจินตนาการว่าตัวคุณเองมีสุขภาพสมบูรณ์แข็งแรง..
จินตนาการในสิ่งที่สร้างสรรค์..
ให้เกิดการกระตุ้นพลังของคุณ..
เมื่อคุณมาจากแหล่งแห่งความเริงรื่นที่เจิดจรัสกว่า
เมื่อมีความเครียดเคร่งน้อยลงเกี่ยวกับผลลัพธ์ที่ติดตามมา..
คุณก็มักจะเข้าใจสิ่งที่สัมผัสได้อย่างถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น..
ถ้าคุณต้องการสัมผัสกับพลังงาน..
จงนั่งอย่างสงบและเสแสร้างแกล้งทำเป็นว่าคุณสามารถทำเช่นนั้นได้..
ถ้าคุณไม่รู้วิธีปฏิบัติบางสิ่ง
จงทึกทักว่าคุณรู้..
เพราะจิตใต้สำนึกไม่รับทราบความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เกิดขึ้นจริงและการเสแสร้งแกล้งทำ..
จิตใต้สำนึกยอมรับสิ่งใดก็ตามที่คุณทึกทักว่าเป็นจริง..
และจะใช้มันสร้างสภาวะความเป็นจริงภายนอกให้ปรากฏ
ผู้เขียนอยากแนะนำให้ "มีอิทธิพลเหนือจุดมุ่งหมายของตัวเอง"
และหากว่าคุณอ้างว่าไม่รู้จะทำอย่างไร..
ซึ่งก็ต้อง เข้าใจถึง "เสแสร้ง"
ว่าล่วงรู้วิธี
ซึ่งก็ได้ผลอย่างยอดเยี่ยม
..
ขณะที่นั่งอย่างปล่อยวาง
จงทึกทักว่าคุณรู้ในสิ่งที่ใครบางคนกำลังคิด
จินตนาการว่าคุณทราบ
แนวทางการตัดสินใจเป็นอย่างดี
จงใช้ความสามารถของคุณเพื่อดึงดูดความคิดสร้างสรรค์และเพื่อจินตนาการผลลัพธ์ที่เป็นไปได้
ในฐานะเครื่องมือในการสัมผัสพลังงานและเดินทางสู่อนาคตกาล.....
ตั้งมั่นการเร่งเวลาและชักนำพลังงาน
การตั้งมั่นนั้นคล้ายกับเอาแสงเลเซอร์
ไปเปรียบกับแสงไฟฉายนั่นเอง..
จงใช้ความสามารถในการตั้งมั่นและรวบรวมความคิดเพื่อสัมผัสพลัง
การตั้งมั่นคือความสามารถในการเพ่งความสนใจอยู่ที่แนวคิดหนึ่งเพื่อแบ่งแยกออกจากความคิดอื่นๆ..
ถ้าคุณต้องการค้นพบข้อมูล
ก็เป็นความสำคัญอย่างยิ่งในการตั้งมั่นอยู่กับมัน
ระดับแห่งความตั้งมั่นที่คุณสอดใส่ลงไปจะเป็นเครื่องตัดสินว่า
ข้อมูลที่กำลังแสวงหานั้นได้รับรวดเร็วเพียงใด
ความตั้งมั่นชักนำคุณตรงไปสู่สิ่งที่กำลังค้นหา..
ขณะที่รวบรวมความคิดอยู่กับบางสิ่ง..
จงคิดถึงมันในลักษณะแยกออกจากสิ่งอื่นๆทั้งหลายอย่างสิ้นเชิง
คุณกำลังชักนำจิตใจคล้ายกับลำแสงเลเซอร์
ฉะนั้น
เมื่อจิตใจถูกชักนำ
คุณก็ไม่สามารถได้รับผลกระทบจากพลังอื่นๆ
ในจักรวาล
เพราะถูกปกปักรักษาไว้ในสัมผัสนั้น
และสิ่งที่คุณกำลังตั้งมั่นก็จะกระจ่างชัดขึ้น..
จินตนาการคามตั้งมั่นว่าเป็นเหมือนลำแสงพลังงานที่พุ่งสู่อนาคต...
สู่บุคคลอื่น ..
สู่สิ่งใดก็ตามที่คุณต้องการได้รับคำตอบ...
และทำให้ขอบเขตดังกล่าวสว่างไสว..
มันเป็นเฉกเช่นลำแสงแห่งพลังอย่างหนึ่งที่ส่งออกจากตัวคุณและจัดตั้งเครือข่ายคล้ายสายโทรเลข
เพื่อรับเอาความรู้และพลังงานกลับมา..
ถ้ามีสิ่งใดที่คุณต้องการรับทราบ..
จงตั้งมั่นอยู่กับมันเพราะไม่ว่าสิ่งใดก็ตามที่ให้ความสนใจ
คุณจะสร้างมันขึ้นมาเป็นรูปธรรมได้..
ขณะตระหนักถึงพลังงาน
คุณจะต้องการได้ข้อสรุปว่า
มันทำให้พลังเพิ่มพูนหรือเสื่อมถอยกันแน่..
คุณมีความสามารถในการได้ข้อสรุปดังกล่าวด้วยการตรวจสอบพลังงานของคุณอย่างสม่ำเสมอ..
ถ้าคุณกำลังให้ความสนใจกับสถานการ์ที่แน่นอนหนึ่ง..
และรู้สึกพลังถดถอย..
จงยอมรับความสามารถในการับรู้และสัมผัสกับความจริงของคุณ...
ถ้าคุณข้องเกี่ยวอยู่ในสถานการณ์ใดก็ตาม
คุณจะรู้ได้เองว่าพลังงานของตัวเอง..
จะเพิ่มพูนขึ้นหรือเหือดแห้งลง..
รู้แม้กระทั่งสิ่งเหล่านั้นที่ทำให้พลังแข็งแกร่งขึ้น
เพราะว่าที่ซึ่งให้ความสนใจนั้นคุณจะเริ่มมีแรงดึงดูดในสิ่งเดียวกันมากขึ้น..
ถ้าตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากจงส่งกระแสแห่งความรักที่ช่วยบำบัดและปกป้องให้อยู่รอดปลอดภัย..
จงสังเกตว่า สถาณการณ์
ผู้คน
หรือความคิดที่เพิ่มพลังให้ล้วนอยู่ในทิศทางสร้างสรรค์ทั้งสิ้น
สิ่งต่างๆ
ดังกล่าวกระตุ้นความก้าวหน้า
และยกระดับจิตใจ ......
ชีวิตนั้นแสวงหาความรอบรู้
พลังและความรัก.. ทุกๆ
สถานการณ์ล้วนสอนให้ตระหนักถึงตัวตนที่คุณเป็นถ้าคุณตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบากอย่างหนึ่งซึ่งก่อให้เกิดปัญหาและลดทอนพลังกายใจและ
จงเริ่มส่งกระแสแห่งความรัก..
เพราะว่าการทำเช่นนี้จะช่วยมิให้พลังของคุณห่อเหี่ยวเหือดแห้งหาย..
ขณะที่ความรักถูกส่งออกไป..
มันช่วยปกป้องผู้ส่งเอาไว้ให้อยู่รอดปลอดภัย..
ก่อนที่จะสันผัสพลังงาน....
ปรับสมดุล...
และมุ่งสู่ตัวคุณเองนั้นคุณควรทำร่างกายให้ผ่อนคลาย...
จิตใจสงบ..
และปล่อยวางอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลาย..
คุณจำเป็นต้องเรียนรู้เทคนิคการตรวจสองตนเองอย่างสม่ำเสมอ..
ขณะที่ส่งจิตใจไปยังผู้อื่น
จงสังเกตดูสิว่า
มีอัตราการเต้นของชีพจรเพิ่มขึ้น
รู้สึกตึงเครียด
หรือร่างกายเปลี่ยนแปลงหรือไม่..
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้คือวิถีทางที่คุณสัมผัสพลังงาน..
ขณะที่คุณปรับคลื่นเข้าสู่ผู้อื่น..
จงสังเกตุสิ่งที่อยู่ในจิตใจของตัวคุณ...
เพราะยิ่งสามารถตรวจสอบจิตใจตนเองได้มากเท่าไร......
คุณก็สามารถรวบรวมข้อมูลและความรู้ได้มากเท่านั้น
ถ้าคุณกำลังคิดถึงใครบางคน
และพบว่าตัวเองรู้สึกกังวล..
อย่างกระทันหันเกี่ยวกับการเงินของคุณ.
เท่ากับกำลังเก็บเอาความวิตกกังวลของผู้อื่นเข้ามาไว้...
ถ้าก่อนหน้าที่คุณจะคิดถึงบุคคลดังกล่าวนั้น
คุณมิได้คิดถึงเรื่องสภาวะเงินมาก่อนเลย
...
ถ้าคุณกำลังพยายามตรวจสอบอนาคต....
เพื่อพิจารณาผลลัพธ์ของบางสิ่งบางอย่าง..
บ่อยครั้งที่ข้อมูลจะผ่านกลับมาทางร่างกาย..
มิใช่จิตใจ.. !!
คุณอาจกำลังพยายามตัดสินใจเลือกแนวทางปฏิบัติ
และขณะที่คิดถึงทางเลือกหนึ่ง
คุณสังเกตพบว่าลมหายใจสั้นลง...
และร่างกายค่อนข้างจะปิดกั้น
พร้อมกับรู้สึกอึดอัดในช่องท้องละก็เหล่านี้คือเครื่องหมายจากอนาคตที่คุณกำลังสัมผัสซึ่งบอกล่าวเกี่ยวกับแนวทางนี้..
เพราะเมื่อคุณคิดถึงแนวทาปฏิบัติที่แน่นอนอย่างหนึ่ง
แล้วรู้สึกหน่วงหนักภายใน
เท่ากับร่างกายกำลังบอกกล่าวว่ามีวิถึทางอื่นที่ดีกว่า...
จงจินตนาการถึงความเป็นไปได้แห่งอนาคต
ผิดแผกแตกต่างออกไปเล็กน้อยจากสิ่งต่างๆ..
ที่คุณกำลังคิดที่จะทำ..
จนกระทั่งคุณบังเกิดความเบาสบายและยินดี
ถ้าไม่มีสิ่งใดก่อเกิดความรู้สึกเบาใจเลย..
จงพิจารณาตัวเลือกใหม่..
จงเรียนรู้การตรวจสอบตนเอง..
เพราะคุณคือเครื่องมือที่ใช้สัมผัสกับพลังงาน
และขณะที่คุณตรวจสอบตนเองอยู่นั้น
ก็จะเริ่มพบเงื่อนงำและคำตอบรออยู่ที่นั่น
การตีความสิ่งที่ได้รับคือขั้นตอนต่อไป...
หลังจากที่คุณนำข้อมูลทั้งหลายเข้ามาบันทึกไว้เรียบร้อย
จงอ่านและทบทวนมันอย่างละเอียด
คุณอาจพบว่ามีความคลางแคลงสงสัยเกิดขึ้นมากมาย
มันเป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่จะไม่ยินยอมให้ช่วงเวลานั้นมาหยุดยั้ง
คุณเอาไว้..
จงแสดงความขอบคุณและปลดปล่อยพวกมันให้เป็นอิสระคุณอาจค้นพบว่ามีเสียงเพรียกภายในที่ไม่เชื่อในสิ่งที่คุณกำลังสัมผัสอยู่ซึ่งสิ่งนี้เกิดขึ้นกับเกือบทุกคน..
ฉะนั้นจงอย่าตำหนิตนเองถ้าพานพบกับสิ่งดังกล่าว...
ตราบเท่าที่หัวใจของคุณยังเปิดกว้าง..
มิใช่คนที่มีอัตตาแก่กล้า..
เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตน
ชอบควบคุมบงการ..
คุณก็สามารถเชื่อถือสิ่งที่กำลังสัมผัส
บางครั้งข้อมูลที่ได้รับอาจดูเหมือนหนุนเนื่องส่งเสริมอัตตาให้แก่กล้า..
ถ้าเป็นเช่นนั้น
คุณต้องสำรวจตรวจสอบมันอย่างใกล้ชิด..
ใช้ทั้งจิตใจและความสามารถของคุณในการเจาะลึกเข้าถึงพลังงานถ้ามันเป็นบางสิ่งที่คุณเคยต้องการให้เกิดขึ้น
และอารมณ์ของคุณเกี่ยวพันอย่างแนบแน่นอยู่กับมันละก็..
ความสามารถในการสัมผัสอย่างชัดแจ้งอาจอ่อนแอลง..
ข้อมูลที่ชัดเจนที่สุดปรากฏขึ้นเมื่ออารมณ์ความรู้สึกสงบระงับเมื่อไม่มีผลประโยชน์ส่วนตน...
และคุณเพียงแต่แสวงหาข้อมูลเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น..
อย่างไรก็ตาม
ขณะที่ฝึกฝน
คุณยังคงสามารถได้รับข้อมูลที่มีคุณค่ากับตัวเอง..
แม้แต่เมื่อคุณกำลังรู้สะเทือนอารมณ์เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวก็ตาม..
สมมติว่าคุณมีเพื่อนคนหนึ่งผู้ซึ่งตกอยู่ในห้วงแห่งความยากลำบาก...
วันหนึ่งคุณนั่งลงอย่างสงบแล้วใช้เทคนิคทั้งหลายที่ได้แนะนำเอาไว้..
สัมผัสพลังงานของเพื่อนคนนั้น
คุณเริ่มเข้าใจชีวิตด้วยสายตาของเขาหรือเธอ..
คุณพบว่ามีความเชื่อที่แน่นอนหลายประการที่ใช้การไม่ได้..
และมีความเจ็บปวดอยู่ภายใน
คุณเข้าใจสิ่งนี้โดยปราศจากการตัดสินใดๆ..
เพียงแต่สัมผัสด้วยความรักและห่วงกังวลอย่างยิ่งเท่านั้น..
ขณะที่สัมผัสพลังนี้
สำหรับคุณแล้วไม่มีผลประโยชน์ส่วนตัวไม่มีความรู้สึกแห่งการควบคุมบงการ
มีเพียงความปรารถนาอันดีที่จะช่วยเหลืออย่างแท้จริง
ฉะนั้นจงเชื่อมั่นข้อมูลที่ปรากฏขึ้น
ร้องขอตัวตนที่สูงล้ำกว่าของคุณให้อยู่ร่วมด้วย
และร้องขอพลังที่สูงล้ำกว่าแห่งจักรวาลให้ช่วยเหลือคุณ
เรียกร้องว่าขอให้คุณเป็นช่องสัญญานหนึ่งสำหรับข้อมูลจากเบื้องสูง
และขอให้เปิดเผยข้อมูลทั้งหลายดังกล่าวปรากฏแก่คุณ
..
ถ้าจุดมุ่งหมายและความตั้งใจคือการก่อให้เกิดแสงสว่างในชีวิตของคุณเองและผู้อื่นมากขึ้น
จากนั้นสิ่งที่ได้รับก็จะช่วยให้สามารถทำสิ่งที่มุ่งมาดปรารถนา
ถ้าคุณปฏิบัติตามแนวทางนี้จากหัวใจ
ด้วยความรู้สึกแห่งการช่วยเหลือเผื่อแผ่....
ความาสามารถในการสัมผัสพลังก็จะเพิ่มพูนขึ้นอย่างรวดเร็ว
และจะไม่มีประตูบานใดไม่เปิดต้อนรับคุณ...
ใช้เวลาคิดถึงสิ่งที่ต้องการมากว่าสิ่งที่ไม่ต้องการ
ยิ่งใช้เวลาส่งภาพของสิ่งที่คุณต้องการออกไปน้อยเพียงใดพื้นที่ว่างของคุณจะถูกเติมให้เต็มด้วยทัศนะของผู้คนเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาต้องการให้คุณปฏิบัติมากเพียงนั้น
หรือเติมให้เต็มด้วยภาพลักษณ์ความก้าวหน้าที่น้อยกว่า
ซึ่งมากจากรูปแบบความคิดเก่าๆ..
ของคุณเอง..
คุณก็จะมีชีวิตอยู่กับภาพเหล่านั้น
แทนที่จะเป็นสิ่งที่คุณต้องการ
โลกแห่งภาพลักษณ์คือแหล่งกำเนิดพลังของโลกแห่งนี้กายภาพของคุณ..
จินตนาการสิ่งที่คุณต้องการให้เหมือนกับการสร้างรูปจำลองสิ่งหนึ่งก่อนจะสร้างตัวจริงขึ้นมา
ภาพลักษณ์นั้นชักนำพลังงานในร่างกายคุณ
ถ้ามีสถานการณ์อย่างหนึ่งในชีวิตที่คุณปรารถนาแก้ไข
คุณสามารถร้องขอสัญลักษณ์และรูปแบบที่จะช่วยคุณได้เสมอ..
บ่อยครั้งเมื่อได้รับรูปจำลองและภาพต่างๆ
อย่างที่ผ่านมาทางความฝัน..
คุณต้องการค้นหาคำอธิบายในเชิงตรรก
และรับทราบความหมายว่าสัญลักษณ์ทังหลายมีพลังในการบำบัดรักษาได้อย่างไร
คุณสามารถบำบัดรักษาบุคคลอื่นโดยการส่งรูปแบบและสัญลักษณ์ไปให้พวกเขา
คุณสามารถแก้ไขสถานการณ์หนึ่งด้วยการสร้างจินตนาการและสัญลักษณ์ให้ง่ายที่สุดในการบำบัดรักษาแก้ไขมันด้วยถ้อยคำ
จริงๆแล้ว
สัญลักษณ์นั้นสามารถชักนำการบำบัดรักษาได้มากกว่าถ้อยคำ
เพราะว่าพวกมันมิได้เชื่อมโยงกับระบบแห่งความเชื่อของคุณ...
บัดนี้ลองคิดถึงสถานการณ์หนึ่งในชีวิต
เป็นบางสิ่งที่คุณต้องการแก้ไขและร้องขอรูปแบบการแปลงเปลี่ยน
ดูสิว่าคุณสามารถได้รับภาพลักษณ์ของบุคคลอื่นๆ
ที่เกี่ยวข้องด้วย หรือ..
สถานการณ์โดยรวม
ถ้าคุณมีใครบางคนในชีวิตผู้ซึ่งกำลังสร้างความยุ่งยากทำให้คุณสูญเสียเวลาและพลังงานละก็..
จงพยายามมองหาเขาหรือเธอในรูปของสัญลักษณ์
เขาอาจปรากฏแก่คุณเป็นท่อนไม้ที่ใช้ทำลายกำแพงเมือง
(อาวุธสมัยโบราณ)
และคุณอาจมองเห็นตัวเองเป็นกำแพงที่แพ้พ่ายต่อพลังของเขาเสมอ...
คุณควรจัดการกับสถานการณ์นี้ดวยการแปลงเปลี่ยนและแก้ไขสัญลักษณ์
บางทีอาจจินตนาการท่อไม้ทำลายกำแพงเมืองให้เป็น..
แผ่นกระดาษแข็งเล็กๆ
และกำแพงของคุณก็ยืดหยุ่นได้คล้ายยางลบ
คุณสามารถโยกย้ายพลังงานได้อย่างแท้จริง..
โดยวิธีจัดการกับสัญลักษณ์
ซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขสถานการณ์ใดๆ
ก็ตามได้ในแนวทางนี้...
มีกระแสแห่งพลังงานที่เคลื่อนที่ไปรอบโลก..
และคุณสามารถติดต่อเข้าไปเวลาใดก็ได้ที่ต้องการ
ถ้าคุณต้องการพลังทางกาย
ก็สามารถหายใจลึกๆ
พร้อมกับจินตนาการว่าคุณเชื่อมโยงกับกระแสพลังแห่งผู้คนทั้งหลาย
ผู้ซึ่งมีความกระปรี้กระเปร่าอย่างเปี่ยมล้น
ณ
เวลาหนึ่งเวลาใดมีผู้คนนับล้านๆ
ที่ตั้งมั่นอยู่กับแนวคิดที่แน่นอนต่างๆ
มีมั้งภาพ นักเขียน
นักปฏิบัติสมาธิผู้คนที่เชื่อมั่นในเรื่องของจิตวิญญาน
ฯลฯ ...
ซึ่งคุณสามารถใช้พลังของพวกเขาที่ส่งกระแสออกมานี้เพื่อเพิ่มพูนหรือนำสิ่งใดก็ตามที่ต้องการเข้ามาให้ตัวเอง
เพียงแต่หลับตาและปรับคลื่นเข้าหา
(แม้จะเป็นเพียงแค่จินตนาการก็ตาม)
ผู้คนทั้งหลายเหล่านั้นผู้ซึ่งกำลังทำในสิ่งเดียวกับคุณ...
จงปรับคลื่นเข้าสู่กระแสพลังที่สูงส่ง
ประสบความสำเร็จของพวกเขา
ด้วยลมหายใจของคุณ
คุณสามารถดึงดูดเข้าสู่การเชื่อมโยงกับบุคคลอื่น
ๆ ทั่วโลก
หรือเพื่อขอความช่วยเหลือ
ชี้แนะชักนำจากพลังแห่งจักรวาลที่สูงล้ำกว่า..
พลังงานใดๆ
ก็ตามที่คุณต้องการล้วนดำรงอยู่ในโลก
ถ้าต้องการความรักมากขึ้น
คุณสามารถหายใจในกระแสแห่งความรัก
ที่หมุดเวียนอยู่รอบโลก
ไม่ช้าไม่นานมันจะปรากฏเป็นจริงเป็นจังทางกายภาพ
ถ้าคุณกำลังผลักดันโครงการหนึ่ง
และพบว่ามันยากจะสำเร็จเสร็จสิ้นคุณสามารถปรับคลื่นเข้าสู่บุคคลทั้งหลายข้างนอก
ผู้ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างงดงามในโครงการของพวกเขา
คุณสามารถเป็นผู้เชี่ยวชาญในการแก้ไขบำบัดในทุกๆ
สิ่งที่ปฏิบัติ
จงใช้ความสามารถในการสัมผัสและปรับคลื่นเข้าสู่พลังเพื่อแปลงเปลี่ยนตัวเองและผู้อื่น
มันเป็นความชำนาญอย่างหนึ่งที่สามารถพัฒนาขึ้น
ซึ่งจะช่วยให้คุณก้าวหน้าไปได้อย่างรวดเร็ว..
สรุป
|
1.
จงนึกภาพบุคคลผู้หนึ่งที่รู้จัก
แลพรรณนาชีวิตในแง่มุมที่เขาหรือเธอมอง
|
2. คุณสามารถช่วยและรองรับสนับสนุนบุคคลผู้นี้ในความเจริญก้าวหน้าของเขาหรือเธอได้อย่างไร?
จงสร้างภาพสิ่งหนึ่งที่คุณควรกระทำเพื่อช่วยเหลือเขาหรือเธอในจิตใจ |
3. ยกสถานการณ์หนึ่งในชีวิตที่คุณอยากล่วงรู้อนาคตของมันบัดนี้จงทึกทักว่าคุณอยู่ในอนาคต
5 ปีข้างหน้า
และกำลังมองย้อนกลับมายังปัจจุบัน
ตัวตนนี้บอกอะไรคุณเกี่ยวกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นบ้าง?
ปล่อยให้จินตนาการของคุณดำเนินไปอย่างอิสระและเริงรื่นกับสิ่งนี้ปรุ่งแต่งสิ่งที่จะเกิดขึ้น
(คุณอาจเก็บรักษาสิ่งนี้ไว้ที่ไหนสักแห่งเพื่อนำมาพิจารณาในภายหลัง) |
สัมผัสพลังของผู้อื่น
|
พวกเราจำนวนมากกำลังพัฒนาความสามารถในการดำรงคงความรู้สึกแห่งตัวตนและหลีกเลี่ยงให้พ้นจากกลุ่มความคิดที่ไม่สอดคล้องด้วย
พลังงานนั้นคล้ายกับกระแสอย่างหนึ่ง
บ่อยครั้งที่มันหลั่งไหลอยู่โดยรอบและผ่านคุณไป
อาจจะเป็นการคิดถึงในฐานะกลิ่นหอมขจรขจาย
ที่จะส่งผลกระทบต่อคุณ..
หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณเลือกสนองตอบ
และรับรู้มันอย่างไรยิ่งคุณตระหนักตัวตนที่คุณเป็นมากเพียงใด
อิทธิพลจากภายนอกก็สามารถส่งผลกระทบต่อคุณน้อยลงเพียงนั้น
ในทางกลับกัน
หากมีสติรับรู้ความเป็นตัวของตัวเองน้อยเพียงใด
พลังต่างๆ
ก็ส่งผลกระทบต่อคุณมากเพียงนั้น
พวกเราทุกคนล้วนตระหนักถึงความรู้สึกและความคิดต่างๆ
ไม่ระดับใดก็ระดับหนึ่ง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
คุณตระหนักดีเมื่อรู้สึก
มีความสุขหรือหงอยเหงาเศร้าซึม
คุณล่วงรู้เสมอไม่ว่าความคิดที่เกิดขึ้นเป็นลักษณะสร้างสรรค์หรือทำลาย
คุณสามารถเรียนรู้ที่จะหยั่งสู่ระดับที่ล้ำลึกกว่า
เพื่อรับรู้ถึงกระแสพลังที่หลักแหลม
และวิธีที่พวกมันส่งผลกระทบ
คุณสามารถทำตัวเป็นนักสังเกตุการณ์พลังงานที่
รายล้อมรอบตัว
และชักนำมันมาใช้ประโยชน์แทนการสนองตอบต่อพังดังกล่าว..
จงคิดย้อมกลับไปในรอบวันที่ผ่านมาชั่วขณะ
ความรู้สึกอะไรบ้างที่คุณได้รับในวันนี้?
คุณสามารถจำความรู้สึกเมื่ออยู่ร่วมกับคนแปลกหน้าได้หรือไม่?
คุณอาจผ่านพบประสบการณ์ทางอารมณ์ที่แตกต่างหลากหลายจากเบาสบาย
มีความสุข ควสามคิดสร้างสรรค์
และพานพบความรู้สึกโกรธเคืองหงุดหงิดผิดหวัง
วิตกกังวล
หรือหงอยเหงาเศร้าใจ
ซึ่งความรู้สึกบางอย่างของคุณเป็นการตอบสนองต่อผู้คนที่คุณอยู่ร่วมด้วย
กล่าวคือผู้คนล้วนส่งกระแสพลังออกมาเสมอ
เพียงแต่ต่างมีสารเคมีของร่างกายเป็นของตัวเอง
ดังนั้นพวกเขาจึงส่งกระแสพลังออกมาไม่เหมือนใคร
และไม่มีใครเหมือน
พลังงานเปรียบเสมือนรหัสอย่างหนึ่ง
เช่นเดียวกับที่ไม่มีเกล็ดหิมะสองเกล็ดที่เหมือนกัน
รหัส 2
ตัวที่เหมือนอย่างกับแกะก็ไม่มีเช่นกัน
แต่ละบุคคลที่คุณพบปะเจอะเจอ
ก็ส่งผลกระทบที่ค่อนข้างจะแตกต่างกันออกไป..
จงเป็นผู้ที่ล่วงรู้ท่วงท่าของร่างกายตนเองเมื่อคุณอยู่กับบุคคลหนึ่งใดอันเฉพาะเจาะจง..
คุณหลังโค้งคอ
หรือตั้งตรง?
แขนไขว้เกาะกุมไว้เบื้องหน้าหรือไขว้แขวนไว้เบื้องหลัง
ปล่อยหัวใจให้เปิดกว้าง?
ไหล่ของคุณงุ้มไปข้างหน้า
หรือเหยียดยึดไปด้านหลัง?
ร่างกาย ท่อนบนเอนไป
ข้างหน้าหรือข้างหลัง
หรือยืดตัวขึ้นลง?
ร่างกายมักหยิบยื่นเบาะแสเกี่ยวกับวิธีที่คุณจัดการกับผู้คนไว้ให้เสมอ...
การตระหนักถึงร่างกาย
ความคิดและอารมณ์ทำให้ค้นพบอิทธิพลที่ผู้อื่นมีต่อคุณ
พรุ่งนี้หรือตลอดอาทิตย์หน้า
จงสังเกตความรู้สึกว่าเป็นอย่างไร
ยามเมื่ออยู่ร่วมกับผู้คนที่ติดต่อเกี่ยวข้องด้วย
และให้ความสนใจกับอารมณ์ต่างๆ
คุณอาจไม่รู้สึกว่าได้รับอิทธิพลของคนอื่นๆ
จนกระทั่งคุณพิจารณาอย่างลึกซึ้งลงไปในสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
เมื่อคุณอยู่กับบุคคลหนึ่ง
ทันใดนั้นคุณอาจเริ่มต้นวิตกกังวลเกี่ยวกับปัญหาการเงิน
แม้ว่า 10
นาทีก่อนหน้านี้
คุณรู้สึกโอเคในเรือ่งเงินๆ
ทองๆ
นั่นเท่ากับคุณได้นำเอาพลังของเขามาไว้ในตัวเองแล้ว
ถ้ากำลังก้มตัวไปข้างหน้า
หมายถึงคุณกำลังเปิดเผยพลังงานและผลักดันมันเข้าไปในที่ว่างของบุคคลอื่น
ถ้าเอนกายไปทางเบื้องหลัง
เท่ากับคุณกำลังหลีกเลี่ยงพลังของผู้คน
และพวกเขาจู่โจมพลังใส่คุณรุนแรงเกินไป
เมื่อคุณนั่งหรือยืนตัวตรง
ไหล่เป็มุมฉาก
คุณอยู่ในท่วงท่าทีทรงพลังสูงสุด
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นคือท่วงท่าแห่งความสมดุลและการเป็นจุดรวมที่ยินยอมให้คุณควบคุมพลังที่เคลื่อนไหวอยู่รอบตัว
ด้วยเท้าทั้งสองวางราบอย่างมั่นคงบนพื้น
ร่างกายหายใจเป็นจังหวะและไหล่ตั้งฉาก
คุณสามารถน้อมนำตัวตนที่สูงล้ำกว่าเข้ามาหา
คุณจะกลายเป็นผู้ที่ตระหนักถึงอิทธิพลผู้อื่นที่ส่งผลกระทบต่อคุณ
ด้วยการพิจารณาที่ความคิดต่างๆ
เป็นผู้ที่ตระหนักว่าประเด็นอะไรกันแน่ที่เริ่มคิดถึงเมื่อแวดล้อมด้วยผู้คนที่แตกต่างหลากหลาย
เมื่อยอยู่กับบุคคลหนึ่ง
อาจพบเสมอว่าคุณมักคิดถึงความรักการเปลี่ยนแปลง
และความงดงามแห่งจักรวาล
แต่เมื่ออยู่กับอีกคนอาจพบตัวเองคิดถึงแต่สิ่งที่ยากลำบาก
คิดถึงชีวิตที่หนักหนาสาหัสคิดถึงงานหนักที่ทอดตัวอยู่เบื้องหน้า
จงตรวจสอบความคิดของคุณ
เว้นเสียแต่ว่าคุณจะล่วงรู้ว่าตัวเองคิดอย่างไรขณะอยู่ตาลำพัง
จงระมัดระวังอิทธิพลของผู้อื่นที่มีต่ออารมณ์ของคุณด้วยคุณอาจรู้สึกเหนื่อยอ่อนอย่างฉับพลันทันที
หรือมีความสุข
เต็มไปด้วยพลังแห่งความกระปรี้กระเปร่า
หรืออ่อนล้า
หงอยเหงาเศร้าใจ
วิตกกังวล
รวมทั้งโกรธแค้น
จงให้ความสนใจกับความแตกต่างทั้งหลาย
เรียนรู้วิธีที่จะไม่ถูกดึงดูดพลังจนเหือดหาย
แต่กระตุ้นและเติมพลังโดยการเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับผู้คน
ขึ้นตอนแรกคือการรู้เท่าทันเมื่อการปรากฏตัวของใครบางคนสร้างความอ่อนล้าไม่สบายใจให้
แม้แต่ในวิถีทางที่บางเบาแนบเนียนอย่างยิ่งก็ตาม
พวกเราจำนวนมากดำเนินไปในทิศทางที่ผิดพลาด
เมื่อรู้สึกถูกกัดกร่อนบ่อนทำลายโดยผู้คน
เรามักกล่าวว่า
"ฉันพยายามที่ให้พวกเขาพึงพอใจไม่มากพอ
"
บางทีฉันอาจไม่สามารถสื่อความมุ่งหมายให้เป็นที่เข้าใจ
" บางทีฉันอาจไม่ดีพอ
น่ารักพอ"
จากนั้นเราก็จะมองหาวิถีทางต่างๆ
ซึ่งอาจผิดพลาด
และเพิ่มความพยายามในการเอาอกเอาใจผู้อื่นมากยิ่งขึ้น
เมื่อคุณกำลังรู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า
โกรธเคือง
หรืออ่อนล้านั่นคือสัญลักษณ์หนึ่งที่แสดงว่าบุคคลอื่นมิได้เปิดกว้างต่อพลังของคุณ..
พวกเขาอาจรับมันไว้ในวิถีทางหนึ่งที่มิได้เป็นการบำบัดรักษาบางทีอาจไปหล่อเลี้ยงอัตตาให้แก่กล้าขึ้น
พวกเขาอาจกำลังปิดกั้นคุณและไม่ต้องการพลังของคุณก็ได้
เมื่อสังเกตเห็นว่าคุณกำลังรู้สึกหมดเรี่ยวแรงในทางหนึ่งทางใดก็ตาม
ถ้าคุณกำลังเอียงตัวไปข้างหน้า
กำลังพยายามไปให้ถึงบุคคอื่น
เรียกร้องความสนใจกับพวกเขา
หรือรู้สึกถูกดึงดูดพลังงาน
ไม่เป็นที่ชื่นชมยินดี
ไม่เป็นที่ยอมรับ
หรือมิได้รับการสนับสนุนละก็...
มันเป็นเวลาที่จะตั้งคำถามกับตนเองว่า
ทำไมคุณยังคงอยู่ในสถานการณ์นั้น?
เมื่อคุณรู้สึกต้อยต่ำหรืออ่อนล้าโดยคนแปลกหน้าผู้หนึ่งโดยไม่ปรากฏสาเหตุแน่ชัด..
คุณกำลังทุกข์ทรมานจากสิ่งที่เรียกว่า
"การโจมตีจิตวิญญาน"
ซึ่งการเชื่อมโยงเหล่านี้คือข่าวสารจากจักรวาลที่กำลังบอกกล่าวให้คุณสนใจต่อสิ่งที่กำลังปฏิบัติต่อตนเอง
เพื่อพิจารณาวถีทางต่างๆ
ที่คุณอาจส่งกระแสพลังไปให้บุคคลเหล่านั้นผู้ซึ่งไม่สามารถรับเอาไว้ได้
ผู้เขียนเรียกมันว่า
"สิ่งเตือนความจำ"
แล้วการถูกโจมตีหรือหยามเหยีดโดยใครบางคน
อาจไม่พบเห็นอีกเลย
หรือเพียงแต่รับรู้ในฐานะการติดต่ออยู่ห่างๆ
จงพิจารณาสัมพันธภาพที่คุณมีต่อเพื่อนและคนรักอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น
ในบางวิถีทางคุณอาจกำลังเหยียดหงามตนเองอยู่ก็ได้
ถ้าจักรวาลมิอาจส่งข่าวสารเกี่ยวกับสัมพันธภาพใกล้ชิดเหล่านั้นถึงตัวคุณได้
มันจะส่งบุคคลแปลกหน้ามาหาเพื่อเรียกร้องความสนใจจากคุณ
มาเป็นเพียงสิ่งเตือนความจำว่ายังมีบางของเขตในชีวิตซึ่งคุณกำลังลดคุณค่าตนเองให้ต่ำลง
จงขอบคุณบุคคลสำหรับการเป็นสิ่งเตือนความจำ
และจากนั้นก็เริ่มพิจารณาสัมพันภาพของคุณอย่างใกล้ชิดยิ่งขึ้น
.. ตั้งคำถามว่า " ณ
จุดใดที่ฉันกำลังส่งพลังออกไป
และมิได้รับมันกลับคืนมา?"
พวกเราส่วนใหญ่ปรารถนาที่จะมอบความรัก
การบำบัด รกัษาและความช่วยเหลือแกบุคคลที่รู้จัก
และต้องการเชื่อโยงความรักโดยทางอ้อมกับบุคคลอื่นๆ
สัมพันธภาพแห่งความรักปรากฏขึ้นเมื่อผู้คนที่คุณรักและรับการช่วยเหลือเปิดกว้างเพื่อน้อมรับ
จงจินตนาการว่าคุณมีเพื่อนบ้านที่ต้องการมอบให้..
คุณจึงส่งของขวัญให้พวกเขาเสมอ
แต่ในทางกลับกัน
พวกเขารู้สึกขุ่นแค้นระคายเคืองที่คุณจับพวกเขาผูกมัดไว้ด้วยพันธกรณี
ในเมื่อพวกเขาไม่มีเวลาหรือความปรารถนาจะหยิบยื่นของขวัญแก่คุณเป็นการตอบแทน..
คุณจะเริ่มรู้สึกไม่ยินดี
พร้อมกับประหลาดใจว่าทำไมพวกเขาจึงไม่ได้ขอบคุณหรือหยิบยื่นกลับคืน
คุณจะตั้งคำถามว่าทำไมคุณถึงรู้สึกไม่ดี
แม้ว่าคุณเป็นคนใจกว้าง
เป็นผ้หยิบยื่นให้ก็ตาม
คุณสามารถมองเห็นว่า
บ่อยครั้งมากทีเดียวที่ไม่เหมาะสมในการหยิบยื่นสิ่งต่างๆให้ผู้อื่น
พวกเขาอาจเริ่มต้นขุ่นเคืองคุณเพราะว่าพวกเขามิได้เรียกร้องของขวัญแห่งความรักและการบำบัดของคุณเลย..
ถ้าต้องการเชื่อโยงการบำบัดรักษากับผู้อื่นต้องรู้ว่าควรให้และรับมากน้อยแค่ไหน
มันเป็นความสำคัญในการล่วงรู้ว่าคุณมีควสามสามารถในการรับมากน้อยเพียงใด
เพราะว่าพวกเราจำนวนไม่น้อยที่มิได้เปิดกว้างเพื่อรับสิ่งใดมากนัก
แม้ว่าเรารักที่จะหยิบยื่นให้พวกเขาก็ตาม
ถ้าคุณรู้สึกว่าผู้อื่นมิได้ชื่นชมในสิ่งที่คุณหยินยื่นให้
มันก็เป็นเวลาในการพิจารณาว่าคุณเปิดกว้างเพื่อรับสิ่งต่างๆ
จากผู้อื่นอย่างไร
พวกเราทุกคนล้วนมีประสบการณ์ไม่ได้รับความชื่นชมมาแล้วทั้งสิ้น
จงถามไถ่ตัวคุณเองว่า
"ฉันกำลังพยายามหยิบยื่นให้มากเกินไปจนเกินความสามารถของผู้อื่นจะรับได้หรือไม่?"
นั่นคืออีกวิถีทางหนึ่งที่เพื่อนๆ
ของคุณสามารถดึงดูดพลังของคุณให้เหือดหายไป
ผู้คนที่เชี่ยวชาญเปี่ยมล้นด้วยพลังบำบัดก็สามารถเหนื่อยล้าอ่อนแรงและรู้สึกเสื่อมถอย
ถูกเผาผลาญ
เมื่อพรสวรรค์แห่งพลังงานของพวกเขามิได้ถูกใช้ให้เกิดประโยชน์ในสองทิศทางกล่าวคือไม่มีการให้และรับพลังบำบัดรักษามากไปกว่ากระแสแห่งความรักที่ส่งกลับไป
มา
จากนั้นการบำบัดรักษาก็สามารถมองเห็นได้
และบังเกิดความก้าวหน้า
ผู้บำบัดนั้นถูกเติมพลังโดยบุคคลผู้กำลังรับพลังงาน
ณ
ห้วงเวลาดังกล่าวมีกระแสแห่งความกระฉับกระเฉงก่อเกิดโดยผู้บำบัด...
เมื่อคุณอยู่ในบทบาทของผู้บำบัดรักษา
พลังของคุณสามารถเหือดหาย
ถดถอย
ถ้าพวกเขาไม่สามารถรับเอาไว้ได้
และพวกเขาเองก็เช่นกันที่เหนื่อยล้าอ่อนแรง
ถ้าคุณหยิบยื่นให้มากเกิดกว่าที่จะสามารถรับได้
อารมณ์ในทางทำลายทั้งหลาย
อย่างเช่น
ความรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ
ความโกรธ
หรือขุ่นเคือง
มักเกิดขึ้นเมื่อพลังงานของคุณอ่อนล้า
ถ้าควบคุมตัวเองด้วยการตรวจสอบความคิด
ความรู้สึกและร่างกาย
คุณจะทราบว่าการแลกเปลี่ยนพลังงานของคุณเท่าเทียมกันหรือไม่
ถ้าคุณพบว่าตัวเองกำลังถูกบั่นทอน
และไม่ขอบความรู้สึกเช่นนั้น
คุณจะปฏิบัติอย่างไร ?
อันดับแรกต้องรู้ว่าคุณสามารถควบคุมความคิด
อารมณ์ความรู้สึกและปฏิกิริยาทางกายได้อย่างสิ้นเชิง
คุณสามารถเข้าไปสำรวจตรวจสอบภายใน
ร้องขอจักรวาลและจิตวิญญานของคุณให้ช่วยทำความเข้าใจให้แจ้งชัด
ให้ช่วยชี้แนะบทเรียนให้กับคุณ..
ผู้คนมากมายล้วนตกอยู่ในสถานการณ์ที่รู้สึกว่าการเปลี่ยนแปลงพลังงานนั้นไม่เท่าเทียมกัน
สมมติว่าใครบางคนชอบยืมเงินคุณไปเสมอๆ
แต่ไม่ยอมใช้คืน
ยิ่งคุณพยายามทวงถามก็ยิ่งปราศจากผล
จนก่อให้เกิดโมโหโกรธมากขึ้น
คุณสามารถย้อนกลับไปภายในจิตใจและถามว่า
"เป็นสัญลักษณ์แห่งการหยิบยื่นพลังของฉันออกไป
และไม่เปิดกว้างเพื่อรับมันกลับมาหรือไม่?"
คุณสามารถพบข่าวสารถมากมายเกี่ยวกับการหลั่งไหลของพลังว่าเป็นอย่างไร
โดยการให้ความสนใจกับขอบเขตเหล่านั้นซึ่งคุณรู้สึกอ่อนล้า
และคุณสามารถประกอบข่าวสารเหล่านั้นเสียใหม่ให้กลายเป็นบทเรียนและสิ่งกระตุ้นความรู้สึก
ถ้าคุณมีความเชื่อปรการหนึ่ง
เช่นเชื่อว่าคุณไม่สมควรได้รับสิ่งต่างๆ
ที่ต้องการ
จงยืนยันกับตัวเองว่าคุณสามารถมีสัมพันธภาพที่บำบัดรักษาทั้งตัวคุณและผู้อื่นได้อย่างแน่นอน
พวกเราทั้งหลายล้วนมีการสะสมเกี่ยวกับพลังงานที่สัมผัสคุณอาจคิดว่า
"ฉันสัมผัสพลังนี้ได้จริง
ฉันรู้สึกว่าถูกหยามเหยีดและพลังเสื่อมถอยไปจริงๆ
หรือว่าเพียงแต่เหนื่อยหนักไปหน่อย
วันนี้
และจินตนาการไปเอง ?
จงอย่าวิตกกังวลเกี่ยวกับความสงสัยของคุณ
พวกมันสามารถเป็นตัวแทนแห่งความเข้มแข็งซึ่งปกปักคุณเอาไว้จากการถูกเหนี่ยวนำโดยกระแสพลังต่างๆ
รอบตัวมากเกินไป
กุญแจสำคัญคือการเรียนรู้วิธีแปลงเปลี่ยนความคลางแคลงสงสัยให้กลายเป็นเพื่อนคู่คิด
บางครั้งคุณจะได้เสียงหนึ่งแห่งความไม่เชื่อดังก้องออกมาจากสิ่งที่แน่นอนในชีวิตคุณว่า
"บางทีมันจะใช้การไม่ได้
มันอาจเป็นเพียงความฝัน
บางทีฉันจะไม่มีวันได้รับสิ่งที่ต้องการ
บางทีฉันอาจตัดสินใจผิดพลาก"
เสียงเล็กๆ
แห่งความไม่มั่นใจนั้นสามารถเป็นสิ่งใหญ่โตได้จงพูดคุยกับมัน
เพราะว่ามีข้อมูลที่ทรงคุณค่าแฝงฝังอยุ่ในเสียงนั้นเสมอ
เสียงแห่งความสงสัยควรเป็นข่าวสารและประโยชน์โภชผลอย่างไร?
หลายคนสนองตอบต่อเสียงเพรียกภายในด้วยการกล่าวว่า
"ไม่ ..
ฉันจะไม่ท้อแท้หมดกำลังใจ
ฉันจะรักษาศรัทธามั่น
จะคงไว้ซึ่งจินตนาการและมุ่งมั่นต่อไปอย่างไปลดละ"
เมื่อคุณต่อสู้กับเสียงแห่งความเคลือบแคลงก็เท่ากับมันบรรลุความสำเร็จในจุดมุ่งหมายของมันเรียบร้อยแล้ว
ซึ่งนั่นก็คือ
การเปิดเผยให้เห็นด้านที่แข็งแกร่งของคุณ
และทำให้ด้านดังกล่าวเข้มแข็งขึ้น..
บางครั้งดูเหมือนว่าเราจะท่วมท้นไปด้วยความเคลือบแคลงสงสัย
และน้ำเสียงที่ทรงพลังของคุณต้องมีระดับที่ดังกว่าจึงจะถูกได้ยิน
เมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองตกอยู่ในความคลุมเครือไม่แน่ใจ
จงตั้งคำถามกับพลังของคุณ
รวมทั้งการอธิบายความหมายสิ่งต่างๆ
และแนวทางปฏิบัติ
พูดคุยกับเสียงนั้น
ถามมันว่ากำลังพยายามบอกอะไร
.
ถามว่ามันกำลังหยิบยื่นของขวัญอะไรให้
ในทันทีที่คุณรับรู้ว่ามีของขวัญอย่างหนึ่งอยู่ในเสียงแห่งความไม่มั่นใจนั้น
มันก็จะสงบลงอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น
และช่วยเหลือให้ได้รับสิ่งที่ต้องการ
ข่าวสารอื่น
จากเสียงแห่งความเคลือบแคลงคือ
การท้าทายอย่างหนึ่งในการมองเห็นว่าคุณเชื่อมั่นในตนเองมากแ่ไหน
เมื่อคุณประหลาดใจว่า
คุณรู้สึกพลังเหอดหายไปจริงๆ
หรือไม่
สิ่งที่ย้ำเตือนก็คือจงเชื่อในความรู้สึกของตัวเอง
ถ้าคุณรู้สึกอ่อนล้าแม้เพียงบางเบา
ควรเริ่มต้นพิจารณาพลังงานที่ไม่คงที่ระหว่างคุณและบุคคลที่สัมผัสเกี่ยวข้องอยู่ร่วมด้วย
จงเชื่อมั่นว่าคุณจะไม่รู้สึกอ่อนล้า
เว้นเสียแต่คุณจะถูกถายพลังออกไปจริงๆ
เท่านั้น อารมณ์ต่างๆ
สามารถชักนำคุณสู่คำตอบทั้งหลายทั้งมวลแต่ก็สามารถปิดกั้นการเชื่อมโยงกับสัญชาตญานอันแจ่มชัดได้ด้วยเช่นกัน
...
ขณะที่คุณกำลังสัมผัสพลัง
อารมณ์ส่งผลกระทบอย่างไร
และทำไมคุณจึงต้องมีพวกมันด้วย...
?
รับฟังด้วยจิตใจสงบสามารถชักนำกระแสพลังระหว่างตัวคุณกับผู้อื่น
ยิ่งจิตใจยุ่งเหยิงสับสนมากเพียงใด
คุณก็มีแนวโน้มได้รับผลกระทบจากพลังทางทำลายอย่างไม่รู้สึกตัวมากเพียงนั้น...
ในทางกลับกัน
ยิ่งภายในจิตใจคุณสงบขณะกำลังรับฟังผู้อื่นมากเพียงใด
ก็สามารถชักนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ต้องการได้มากขึ้นเพียงนั้น
และตระหนักถึงปฏิกิริยาสนองตอบของร่างกายอารมณ์ความรู้สึก..
เมื่อยู่ร่วมกับผู้อื่นจงฝึกหัดการปล่อยวาง...
ซึ่งการฝึกหัดมิใช่พยายามที่จะทำทุกสิ่งทุกอย่าง..
คิดทุกสิ่งทุกอย่าง
หรือสนองตอบต่อทุกสิ่งทุกอย่าง
แต่เพียงแค่มีสติรับรู้เสียง
กลิ่น
สภาพแวดล้อมและพลังสนองตอบในระดับที่อยู่นอกเหนือถ้อยคำบรรยาย...
ตรวจตราอย่างสม่ำเสมอว่าสิ่งที่ถูกนำมากล่าวนั้นคุณรู้สึกอย่างไรแล้วคุณจะพบขุมทรัพย์แห่งข้อมูลที่หลั่งไหลอยู่ภายในตัวคุณเอง..
คุณอาจประหลาดใจ
ขณะที่เริ่มเข้าใใจประเภทแห่งสัมพันธภาพต่างๆ
ที่คุณเคยมี
รวมทั้งความเชื่อมโยงที่คุณคิดว่าจริงใจและมีพลังบำบัด
แต่กลับไม่ใช่
คุณอาจมองเห็นได้อย่างแท้จริงเป็นครั้งแรกต่อพลังงานของผู้อื่นที่กำลังหยิบยื่นและไม่หยิบยื่นให้คุณ..
จงตระหนักถึงโลกที่คุณดำรงอยู่
ตระหนักถึงข่าวสารที่ถูกส่งมาให้เสมอ
ด้วยความรักจากพลังที่สูงล้ำกว่าแห่งจักรวาล
และเหนือสิ่งอื่นใด
จงให้ความสนใจกับตัวคุณเอง...
สรุป
|
1.
นั่งอย่างสงบ
ผ่อนคลายปล่อยวางร่างกาย
ปรับคลื่นเจ้าสู่พลังของตัวเอง
รวมทั้งร่างกาย
อารมณ์ จิตใจ
เพื่อสัมผัสกับสภาวะความเป็นจริง
แห่งตัวคุณจากนั้นจงคิดถึงใครบางคนที่คุณรู้จักส่งจิตใจอันนุ่มนวลของคุณออกไป
เปิดหัวใจให้กว้าง
และรับฟังอย่างสงบเงียบ
ขณะที่ภาพลักษณ์
ภาพเหตุการณ์
หรือความรู้สึกต่างๆ
ส่งกลับมา
จงสังเกตความแตกต่างระหว่างความรู้สึกของคุณและผู้อื่น
สังเกตการเปลี่ยนแปลงใดๆ
ก็ตามในระหว่างความรู้สึกของคุณและผู้อื่น
จากนั้นกลับสู่สภาวะความเป็นจริง
แล้วบันทึกความประทับใจทั้งหลายที่ได้รับเอาไว้
|
2.
แบ่งปันประสบการณ์ของคุณให้กับบุคคลผู้นี้
หยิบยื่นข้อมูลในทางสร้างสรรค์หรือความสามารถในการเข้าใจอย่างลึกซึ้งที่ได้รับมาให้กับเขา
และรอรับปฏิกิริยาตอบสนอง
เพราะด้วยปฏิกิริยาตอบสนองดังกล่าว
คุณจะสามารถอธิบายความหมายของสิ่งที่ได้รับอย่างถูกต้องแม่นยำยิ่งขึ้น |
ค้นหาตัวเองให้เจอ
|
คำถามที่ว่า
"ฉันคือใคร?"
มีความสำคัญอย่างยิ่ง
เพราะหากไม่ทราบว่าตัวเองเป็นใคร
คุณก็สามารถสัมผัสหรือตีความหมายของพลังที่อยู่รอบตัวได้อย่างชัดแจ้ง
พวกเราทุกคนล้วนมีสำนึกแห่งตัวตนที่เป็น...
คุณได้เคยเฝ้าสังเกตตัวเองในสถานการณ์ที่แตกต่างหลากหลาย
และรู้ว่าจะตอบสนองอย่างไร
ใช้เวลาอย่างไร ฯลฯ
พวกเราส่วนใหญ่จินตนาการภาพบุคคลหนึ่งที่ต้องการเป็นภาพลักษณ์ของร่างกายที่จะปรากฏแก่สายตา
ต้องการใช้เวลาให้หมดไปอย่างไร
ต้องการหาเงินได้มากแค่ไหน
การออกกำลังกายแบบไหน
รวมทั้งอาหารการกินว่าควรเป็นเช่นไร
ซึ่งเราจะพูดถึงภาพลักษณ์และภาพจินตนาการที่ยึดม่นว่าตัวเองควรจะเป็นใครในภายหลัง
ในการตระหนักว่าคุณเป็นใครนั้น
จำเป็นต้องค้นให้พบความสงบแห่งจิตใจ...
ปล่อยวาง เงียบสงบ
ไตร่ตรอง ซึ่งคุรสามารถรับฟังความคิด
พร้อมกับใคร่ครวญเกี่ยวกับตัวเองและวันเวลา
... และที่สำคัญ
ไม่ว่าจะก้าวไปในอนาคต
... ต้องรับรู้ว่า
"ฉันรู้สึกอย่างไร
" อยู่เสมอ...
ควรตระหนักถึงผลกระทบต่างๆที่จะเกิดขึ้นรอบตัวไปด้วย
ไม่เห็นแก่ตัวเป็นสำคัญ...
แต่ถ้าความไม่เห็ฯแก่ตัวมาจากความรู้สึกผิด
แรงกดดัน หรือ จำเป็น
ถือว่าไม่เหมาะสม ...
พวกเราส่วนใหญ่ยึดมั่นและผูกมั่นกับชีวิตของตนเอง
พร้อมกับพะวงสงสัยว่า
"คนนั้นคนนี้จะคิดอย่างไร
เมื่อฉันบอกเธอในสิ่งที่กำลังกระทำ?"
บ่อยครั้งที่มองไม่เห็นว่าตัวเองเป็นใคร
ยกเว้นจากมุมมองที่จำกัด
มีทางออกมามายสำหรับร่างกายของคุณและแปลงเปลี่ยนทัศนคติ
เพื่อมองตัวเองในแง่มุมใหม่
วิธีการหนึ่งคือมองสิ่งต่างๆ
ในสายตาของผู้อื่น
มิใช่พิจารณาและตัดสินด้วยความเชื่อของตนเอง
..
แต่ด้วยหลักความเชื่อและมุมมองของพวกเขา
พวกเราส่วนมากรู้สึกว่า
ตนเองเป็นนักแสดงที่ยืนอยู่บนเวที
ที่ถูกคนจับตามองและตัดสิน
วิพากษ์วิจารณ์เสมอ
แต่มีเพียงคุณเท่านั้นที่ผลักดันตัวเองไปบนเวที
เฝ้ามอง
สังเกตการณ์และตัดสินชี้ขาด
เมื่อทำเช่นนี้
คุณจะเริ่มรับผิดชอบต่อผู้อื่น
ถ้าพวกเขารู้สึกย่ำแย่
คุณอาจรู้สึกว่าเป็นต้นเหตุก็ได้
...
หยิบยื่นให้ผู้อื่นในสิ่งที่คุณต้องการได้รับไม่ว่าจะเป็นความรัก
ควสามสนับสนุน
ความชื่นชม
การบำบัดรักษา
และการยอมรับ
แล้วคุณจะได้รับมันกลับมา..
น่าประหลาดใจที่คำถาม
เช่น
"ฉันจะถูกยอมรับ
มีผู้สนับสนุนมากขึ้น
หรือได้รับสิ่งที่ต้องการได้อย่างไร?"
กลับปิดกั้นการสัมผัสพลังอย่างชัดแจ้งของคุณ
จงก่อเกิดความสามารถอย่างเปิดกว้างในการเจ้าใจผู้อื่นและระบบแห่งความเป็นจริงต่างๆ
ของพวกเขา
ซึ่งความชัดเจนที่สุดน่นเองที่ทำให้คุณสามารถมองเห็นตัวเองในวิถีทางที่สูงล้ำกว่า
คุณจะเริ่มให้อภัย
สนับสนุนจุนเจือ
ยอมรับและชื่นชมตัวเองเมื่อคุณทำเช่นนั้นกับผู้อื่น
เพราะการบำบัดรักษาผู้อื่นนั้นมิใช่เป็นเพียงแค่ของขวัญชิ้นหนึ่งคุณมอบให้แก่โลกเท่านั้น
แต่มันยังเป็นของขวัญชิ้นหนึ่งสำหรับคุณเองด้วย
พวกเราทุกคนสามารถเรียนรู้ที่จะตระหนักถึงพลังของตนเองด้วยการเข้าใจพลังของผู้อื่น
ยิ่งคุณสำเหนียกพลังในตัวบุคคลอื่นได้อย่างถูกต้องแม่นยำเพียงใด
คุณก็สามารถสัมผัสในตัวเองได้อย่างเที่ยงตรงเพียงนั้น
นี่คือความจริงแท้แน่นอน
มิใช่เพียงแค่พลังในทางสร้างสรรค์เท่านั้น
แต่ยังรวมถึงความหวาดกลัวและพลังอันมืดมนด้วย
กล่าวคือเมื่อคุณตัดสินผู้อื่น
คุณก็รู้สึกถึงสิ่งนั้นในตัวเอง
และเอาพลังทำลายใดๆ
ก็ตามที่คุณกำลังตัดสินเข้ามาไว้ในตัว..
ในการเข้าใจพลังอย่างชัดแจ้งนั้นคือการละทิ้งการตัดสินผิดถูกไว้เบื้องหลัง
ท้าทายตัวเองให้เป็นอิสระจากโครงร่างถูก
- ผิด เมื่อสังเกตุเห็นคุณภาพหนึ่ง
หรือบุคลิกภาพในบุคคลอื่นที่คุณไม่ขอบลองดูสิว่าคุณสามารถค้นพบว่ามันเหมาะสมกับชีวิตของพวกเขาอย่างไร
พิจารณาว่า อิปนสัยอันเฉพาะเจาะจงนั้นใช้การได้กับพวกเขาอย่างไร
คุณภาพดังกล่าวให้อะไรกับพวกเขา
เก็บการตัดสินชี้ขาดไว้เบื้องหลัง
แล้วคุณจะเป็นอิสระจากผลกระทบจากพลังของผู้อื่น
ความกลัวคืออะไร?
อะไรคือเงื้อมเงาของมัน?
ก่อนี่จะมีการพิจารณาอย่างใกล้ชิด
บ่อยครั้งความหวาดกลัวดำรงคงอยู่ในฐานะความรู้สึกหน่วงหนักหรือวิตกกังวล...
มีช่วงเวลาที่คุณรู้สึกปลอดโปร่งและเริงรื่น
กับชั่วขณะที่ซึมเศร้าซึ่งช่วงเวลาหน่วงหนักเหล่านั้นมักเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความหวาดกลัวยิ่งยกระดับจิตใจขึ้นสู่ที่สูงมากเพียงใด
คุณก็จะเปอดปล่อยความหวาดกลัวได้มากเพียงนั้น
การลบล้างความหวาดกลัวจงหันกลับมาพิจารณามันโดยตรงเพราะสิ่งที่คุณเผชิญหน้าจะถูกลบล้างไปด้วยสติแห่งจิตสำนึก
ความหวั่นหวาดในระดับที่ต่ำกว่านั้น
ปรากฏในฐานะอารมณ์หน่วงหนัก
ภาระหนักอึ้ง
ความรู้สึกตึงเครียดในร่างกาย
มันสามารถเป็นความรู้สึกหนึ่งแห่งความเร่งรีบ
พยายามที่จะหลบซ่อนอยู่ภายใต้หน้ากากแห่งความสามารถในการสร้างผลผลิต..
เป็นการยึดมั่นมากกว่าปล่อยวาง
เมื่อรู้สึกหน่วงหนักหรือมืดมน
จงร้องขอให้ความหวาดกลัวปรากฏในจิตสำนึกของคุณ
เพราะสิ่งใดก็ตามที่เราหันหลังให้จะกล้าแข็งและกลายเป็นภาวะเลวร้าย...
เมื่อคุณสมัครใจที่จะยืนหยัดและเผชิญหน้ากับสิ่งที่หวาดกลัว
จักรวาลก็จะช่วยคุณในการปลดปล่อยและบำบัดรักษา
พวกเราจำนวนมากกลัวการอยู่อย่างเดียวดาย
โดยเชื่อว่าคุณต้องจัดการทุกสิ่งทุกอย่างด้วยตัวเอง
คุณอาจรู้สึกถึงภาระแห่งความรับผิดชอบที่หนักหนาสาหัส..
อย่างไรก็ตาม
จักรวาลนั้นเต็มไปด้วยมิตรสหาย
นักบำบัดและความช่วยเหลือ
ยิ่งคุณเริ่มต้นบำบัดผู้คนที่ติดต่อข้องเกี่ยวมากเท่าใด
พลังบำบัดรักษาก็จะย้อนมาหาคุณมากเท่านั้น
การให้และรับการบำบัดรักษาคือวิถีทางสู่พลังที่สูงล้ำกว่า
บ่อยครั้งที่สามารถเผชิญหน้ากับความหวาดกลัวและแปลงเปลี่ยนมันโดยการหายใจอย่างผ่อนคลายเข้าไปในร่างกาย
นอกจากนั้นมันสามารถถูกจัดการโดยการปฏิบัติด้วย
เมื่อคุณกำลังสัมผัสพลังทางทำลายในตัวผู้อื่น
ถ้ามีความรู้สึกหนึ่งที่คุณไม่อาจควบคุมและหลบซ่อมจากมันละก็
อันดับแรก
จงลอยตัวอยู่เหนือการตัดสินชี้ขาด
จากนั้นจึงต้องขอการชี้แนะจากจักรวาลเกี่ยวกับการปฏิบัติ
(ถ้ามี)
ที่คุณสามารถดำเนินการ
จักรวาลจะส่งความช่วยเหลือมาให้เสมอเมื่อคุณร้องขอ
มันอาจผ่านมาทางความคิด
ในฐานะความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
หรือการเปิดเผยอย่างชัดแจ้ง
มันอาจผ่านทางบางสิ่งที่ได้ยิน
ได้เห็น หรือได้อ่าน
เมื่อคุณรู้สึกถึงพลังในทางทำลายใดๆ
ก็ตามในตัวผู้อื่น
คุณสามารถหยุดยั้งอิทธิพลผลกระทบนั้นด้วยการร้องขอว่าคุณจะสามารถช่วยบำบัดและร้องรับสนับสนุนความเจริญก้าวหน้าของพวกเขาได้อย่างไร
ซึ่งคุณจะพบว่าพวกเขาอาจค้นหาแนวทางปฏิบัติเดียวกันเพื่อสนองตอบต่อคุณ
ถ้าพวกเขาไม่สามารถผสาน
ผสมกลมกลืนกัลพลังแห่งความรัก
และการบำบัด...
พวกเขาก็จะออกไปพ้นเส้น
ทางชีวิตของคุณ
หรือไม่คุณก็จะพบว่าตัวเอง
ไม่สร้างโอกาสอยู่ร่วมกับพวกเขามากนัก
อะไรคือความหวาดกลัวเกี่ยวกับการสัมผัสพลัง?
อะไรคือ
ความหวาดหวั่นต่อการค้นพบพลังในทางทำลายในตัวผู้อื่น?
มันเป็นความกลัวอย่างหนึ่งที่ว่าพวกเขาสามารถทำอันตรายคุณได้หรือไม่?
มันเป็นความเชื่อหนึ่งที่ผู้อื่นสามารถทำให้คุณแพ้พ่ายหรือด้วยค่าลงหรือไม่
?
เมื่อคุณมีสติรู้เท่าทันความหวาดกลัวต่อพลังทางทำลาย
เมื่อคุณสัมผัสกับความคิดว่าพลังในทางทำลายนั้นสามารถทำอันตรายต่อคุณได้อย่างไร.....
หลังจากนั้นคุณก็ได้เริ่มดำเนินการพื้นฐานกับมัน..
เพียงแต่เผชิญหน้าและยอมรับความหวาดกลัวแห่งพลังทางทำลาย
ก็สามารถเปลี่ยนรูปโฉมมันให้กลายเป็นพลังที่ปราศจากอันตรายขอย้ำอีกครั้งว่า
พลังสร้างสรรค์และบำบัดรักษา
นั้นทรงพลังมากกว่าพลังทางทำลายอย่างไม่ต้องสงสัย.....
ความหวาดกลัวสามารถก่อเกิดขึ้นในอาณาเขตซึ่งภาพลักษณ์แห่งตัวคุณในปัจจุบันและบุคคลที่คุณต้องการจะเป็นไม่กลมกลืนด้วยทำไมคุณจึงหวาดกลัวต่อภาพลักษณ์ของบุคคลที่คุณมิได้เป็น?
คุณรู้สึกสร้างความผิดหวังที่ปล่อยให้ตัวเองตกต่ำหรือไม่?
...
จงยอมรับและรักตัวตนที่คุณเป็นมิใช่ตัวตนที่คุณจะเป็นหรือควรเป็น
ถ้าคุณรักตัวเองอย่างที่เป็น...
เท่ากับคุณกำลังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน
ซึ่งก็คือประตูสู่พลังอำนาจส่วนบุคค
แต่ถ้า
คุณพึงใจเพียงแค่บุคคลหรือตัวตนทที่จะเป็นละก็
เท่ากับคุณละทิ้งร่างกายไปดำรงอยู่กับอนาคตที่ไม่สามารถก่อเกิดผลกระทบ
(จนกระทั่งมันกลายเป็นปัจจุบันกาล
และคุณสามารถปฏิบัติได้)
จงพิจารณาบุคคลที่คุณเป็น
เปรียบเทียบกับบุคคลที่คุณต้องการจะเป็น..
และถามตนเองว่าทำไมภาพลักษณ์ทั้งสองจึงไม่ผสานผสมกลมกลืน
รวมทั้งคำถามที่ว่า
"สิ่งที่ต้องการจะเป็นนั้น
เหมาะสมอย่างแท้จริงกับตัวตนที่ฉันเป็นอยู่หรือไม่
หรือมันเป็นเพียงบางสิ่งที่ฉันเคยถูกบอกกล่าวว่าควรจะเป็นเท่านั้น?"
ยิ่งคุณสามารถทำตัวเองให้ปลอดพ้นจากการวางแผน
มุ่งมั่นคาดหมาย
และสร้างภาพให้คุณเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้มากเพียงใด
คุณก็จะมีพลังอำนาจเพิ่มพูนขึ้นเพียงนั้น
ภาพอนาคตจำนวนมากมายเหล่านั้น
เกี่ยวพันกับการเผชิญหน้ากับสภาวะไม่เป็นจริง
หรือมาตรฐานที่ไม่เหมาะสมที่คุณถูกผู้อื่นหยิบยื่นให้
..
ตัวแทนความเชื่ออันเปี่ยมอุดมคติจำนวนมากเหล่านั้น
ของผู้อื่นนั่นเองที่คุณพยายามถมใส่ไว้ในตนเอง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งความเชื่อเหล่านั้นที่คุณมีกล้มเหลวในการเผชิญหน้า..
พวกมันสามารถกลายเป็นดัชนีบอกว่าตัวตนที่คุณต้องการจะเป็น..
มิได้สอดคล้องสัมพันธ์กับความมุ่งมาดปรารถนาแท้จริงเลย
ส่วนควาสมเจ็บปวดรวดร้าวก็บังเกิดขึ้นในระดับที่ผิดแผกแตกต่าง
อย่างเช่นความรู้สึกหน่วงหนัก
หวาดกลัว
หรือมืดมนปรากฏขึ้นเพียงเพราะว่าคุณกำลังพยายาม
"สวมใส่"
พลังงานที่มิได้สอนคล้องกับตัวเอง..
การตระหนักว่าคุณคือใครนั้นต้องการเวลาไตร่ตรองใคร่ครวญอันเงียบสงบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
บางช่วงเวลาสำคัญที่สุดซึ่งคุณ
สามารถสร้างสรรค์ขึ้น
ผู้เขียนมิได้กำลังพูดถึงเวลาที่คุณครุ่นคิดอย่างหมกมุ่นถึงบางสิ่งแต่เป็นห้วงเวลาแห่งความสงบเย็นซึ่งคุณมิได้คิดถึงสิ่งใด
ความสงบแห่งจิตใจก่อให้เกิดที่ว่างสำหรับแนวคิดต่างๆ
ให้มาปรากฏต่อสภาวะความเป็นจริงของคุณและถือกำเนิดขึ้น...
แรงบันดาลใจนั้นก่อเกิดขึ้นในสภาวะปล่อยวาง..
สงบเย็นมันอาจใช้เวลา
1 อาทิตย์
หรือมากกว่านั้น
ก่อนที่แนวคิดใหม่ประการหนึ่งจะปรากฏขึ้นในจิตสำนึก..
แต่จงอย่าปล่อยให้เวลาที่ล่าช้าปิดกั้นคุณเอาไว้จากความเข้าใจต่อการเชื่อมโยงสัมพันธ์กันระหว่างช่วงเวลาที่เงียบสงบและความสร้างสรรค์ที่เผยโฉมในเวลาต่อมา
... การอยู่ตามลำพัง
นั่งลงอย่างสงบซึ่งทำให้เกิดการผ่อนคลายขึ้นกับร่างกาย
จิตใจ
และอารมณ์นั้นจะเพิ่มพูนประสาทสัมผัสเกี่ยวกับตนเองไว้ว่องไวยิ่งขึ้น
เพราะภายใต้ห้วงเวลาสงบเงียบเหล่านั้น
คุณมิได้สวมบทบาทหรือแสดงบุคคลิกภาพใดๆ
และจิตวิญญานสามารถพูดจากับคุณได้ชัดแจ้งยิ่งขึ้น.
คุณมีประสาทสัมผัส..
ต่อพลังของตัวเองชัดเจนที่สุดเมื่ออยู่ตามลำพัง.
มิได้ถูกห้อมล้อมโดยบุคคลอื่น..
พวกเราบางคนถูกห้อมล้อมด้วยคนอื่นๆ
อยู่ตลอดเวลา
และในที่สุดเมื่อพบว่าตัวเองอยู่ตามลำพัง
ก็สร้างสิ่งต่างๆ
นานัปการขึ้นมาให้ปฏิบัติ
ซึ่งเป็นบางสิ่งที่ปิดกั้นความคิดไตร่ตรองและปล่อยวางจิตใจ
คุณถูกสอนว่าความสามารถและสิ่งสร้างสรรค์ที่คุณสามารถมองเห็น
สัมผัส
หรือได้ยินนั้นมีคุณค่ามากกว่าช่วงเวลาสงบนิ่ง...
อย่างไกรก็ตาม
ช่วงเวลาไตร่ตรองคือแหล่งกำเนิดแห่งพลังปลุกฟื้นคืนชีวิตชีวา
เป็นแหล่งกำเนิดแห่งความเข้าใจอย่างถ่องแท้รวมทั้งแนวคิดและแรงบันดาลใจต่างๆ..
ฉะนั้นจงเริ่มทำเวลาใดๆ
ก็ตามให้มีค่าด้วยการนั่งหรือนอนราบลงพร้อมกับทำจิตใจให้สงบเย็น
ฝึกฝนที่จะไม่คิดถึงสิ่งใดเพราะว่าจิตใจที่สงบเย็นนั้นคือประตูสู่การสัมผัสพลังงานและเปิดเผยสัญชาติญานของคุณ
นอกจากนี้คุณจะพบว่ามันเป็นรูปแบบแห่งการบำบัดรักษาตนเองที่ยอดเยี่ยมและมีปรกสิทธิภาพสูงสุดด้วย
สรุป
|
1.
คิดถึงการพบปะที่กำลังจะเกิดขึ้นกับเพื่อนคนหนึ่งหรือคนรัก |
2.
อะไรคือจุดมุ่งหมายที่สูงล้ำกว่าแห่งการพบปะของคุณ?
มันสามารถกระตุ้นหรือหนุนเนื่องแต่ละฝ่าย
หรือช่วยเหลือเกี่ยวกับการตัดสินใจอย่างหนึ่ง
แม้ว่ามันเป็นเพียงทางด้านสังคมโดยไม่มีประเด็นอื่นข้องเกี่ยวด้วยก็ตาม
ลองดูสิว่าคุณสามารถค้นพบจุดมุ่งหมายที่สูงส่งกว่าในการอยู่รวมกันหรือไม่ |
3.
คุณสามารถช่วยเหลือผู้อื่นในการสร้างวิสัยทัศน์ที่สูงกว่าแห่งตัวตนที่พวกเขาเป็นได้อย่างไร?
และพวกเขาสามารถช่วยคุณในวิถีทางเดียวกันได้อย่างไร?
ครั้งต่อไปที่ได้พบปะร่วมกัน
จงตัดสินใจว่าคุณจะมุ่งมั่นและดำเนินการให้จุดมุ่งหมายที่สูงล้ำกว่าแห่งการพบกันดำเนินไปด้วยดี
ชักนำจิตใต้สำนึกสู่จิตสำนึก
|
ภายใน
ร่างกายคุณมีเครื่องมือจำเป็นที่หนุนเนื่องให้ได้รับสิ่งที่ต้องการ
ขณะที่คุณเรียนรู้สัมผัสพลัง
คุณสามารถแปลงเปลี่ยนพลังที่คุณกำลังผ่านพบได้ด้วย
ขณะที่คุณมีสติระลึกรู้พลังรอบตัว
คุณสามารถตระหนักได้เมื่อตัวเองมีพลังสูง
และชักนำมันให้สูงยิ่งๆ
ขึ้นไป
ซึ่งกรณีนี้อนุญาตให้คุณพัฒนาภาพต่างๆ
ภายในจิตใจ
และมุ่งมั่นความสนใจเพื่อว่าคุณจะสามารถเป็นผู้ที่มีจิตใจที่แจ่มใส
มีระดับความคิดที่พัฒนาเปิดกว้างยิ่งขึ้น
เมื่อคุณร้องขอสิ่งต่างๆ
ต่อจักรวาลนั้น
สำคัญอย่างยิ่งในการเปิดกว้างต่อวิธีการที่พวกมันจะปรากฏตัวเอาไว้...
เพราะจักรวาลจะหยิบยื่นแก่คุณในวิถีทางที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
คุณอาจจำเป็นต้องหลุดพ้นจากท่าทีหรือภาพลักษณ์ต่างๆ
เพื่อปลดปล่อยสิ่งดังกล่าว
ถ้าคุณพร้อมพัฒนาจิตใจให้สูงล้ำกว่าละก็
มันเป็นเวลาปลดปล่อยภาพเหตุการณ์ใดๆ
ก็ตามเกี่ยวกับวิธีที่คุณจะบรรลุถึงจุดนั้น
คุณสามารถพัฒนาได้รวดเร็วยิ่งขึ้นด้วยการนำเอาจิตใต้สำนึกมาสู่จิตสำนึก
เพราะจิตสำนึกคือแสงสว่างที่แปลงเปลี่ยนจิตไต้สำนึก
คุณมิได้ถูกควบคุมโดยแรงผลักดันที่ซ่อนเร้น
หรือระเบียบวาระที่ไม่ล่วงรู้ใดๆ
ทั้งสิ้น
แต่คุณถูกหยิบยื่นความสามารถในการพิจารณาเข้าไปภายในจิตใจและค้นพบคำตอบต่างๆ
ในการนำจิตใต้สำนึกมาสู่จิตสำนึกนั้น
จงมุ่งมั่นในการค้นพลแสงสว่างโดยรอบสถานการณ์ใดๆ
ก็ตาม
แล้วคุณจะพบคำตอบปรากฏขึ้น
โดยไม่จำเป็นต้องใช้จิตในการวิเคาระห์เจาะลึกและครุ่นคิด
ถ้าคุณต้องการคำตอบหนึ่ง
จงจิตนการว่า
คุณถือเหตุการณ์ไว้ในมือ
จินตนาการแสงงสว่างปรากฏขึ้นกับภาพดังกล่าว
และจากนั้นก็ปลดปล่อยมันให้กับตัวตนที่สูงล้ำกว่าของคุณเอง
หรือพลังแห่งจักรวาลเบื้องต้น
คุณมิได้ขึ้นอยู่กับแรงผลักดันที่ซ่อนเร้นหรือระเบียบวาระที่ไม่ล่วงรู้ใดๆคุณมีความสามารถในการสำรวจตรวจสอบจิตใจและค้นหาคำตอบต่างๆ...
ถ้าคุณแสวงหาคำตอบหนึ่ง
ทั้งหมดที่ต้องการคือร้องขอจากนั้นก็รับฟัง
อย่างไรก็ตาม
สิ่งต่างๆ
บางประการมักผ่านเข้ามาในวิถีทางแห่งการรับฟังของคุณ
และหนึ่งในจำนวนนั้นคือภาพลักษณ์แห่งความเป็นจริงของตัวคุณ..
และวิธีจัดการกับมัน
ข้อสรุปอีกประการคือจิตใจมักเต็มไปด้วยความคิดมากมายที่ไร้สาระ
แต่เมื่อคุณผ่อนคลายหรือคิดในวิถีทางอื่น
สิ่งหนึ่งจะปรากฏขึ้นเสมอ
..
การนำจิตใต้สำนึกมาสู่จิตสำนึกเป็นความท้าทายในทุกๆสถานการณ์ที่คุณผ่านพบ
ถ้ารู้สึกว่าบางสิ่งที่กระทำมีความไม่เข้าใจเกิดขึ้น
ก็เท่ากับคุณกำลังส่งสัญญาณนำร่องแห่งพลังงานออกไปสู่จักรวาล
จากนั้นคำตอบก็จะถูกถ่ายทอดกลับมายังคุณในทันที
ถ้าคุณคาดหวังให้คำตอบปรากฏขึ้นในวิถีทางที่แน่นอนหรือเป็นคำตอบที่แน่นอนอย่างหนึ่ง
ต่อมาก็จะกลายเป็นความยากลำบากสำหรับคำตอบใหม่ๆ
และคำตอบที่เปิดกว้างซึ่งจะมาปรากฏขึ้น
จงรับเอาคำถามใดๆ
ก็ตามที่ต้องการคำตอบเข้ามาไว้และหยุดคิดถึงมันหนึ่งอาทิตย์..
ขณะที่ถามคำถามหนึ่งนั้น..
เป็นความสำคัญอย่างยิ่งในการเปนอิสระจากมัน
เพราะถ้าคุณหมายมั่นอยูกับประเด็นใดๆ
ก็ตาม
และไม่คิดถึงมันเพียงวันเดียว
จะพบว่ามีพลังงานใหม่รายล้อมอยู่รอบสถานการณ์ดังกล่าว..
อีกวิธีหนึ่งในการดึงเอาจิตใต้สำนึกมาสู่การรับรู้
ก็คือวิธีนั่งอย่างสงบตามลำพัง
และตั้งมั่นอยู่กับภาพลักษณ์ของตนเอง
ถ้าคุณหมกมุ่นครุ่นคิดกลัลไปกลับมาอยู่กับประเด็นหนึ่ง
ก็จะไม่มีคำตอบที่ถูกต้องสมบูรณ์แบบ
ถ้าคุณต้องการคำตอบที่สำเร็จเด็ดขาด
จงอย่าครุ่นคิดในลักษณะกลับไปกลับมา
คุณสามารถช่ยปลดปล่อยสถานการณ์นี้โดยการมองเห็นตัวเองค้นพบคำตอบหนึ่ง
ยึดมั่นอยู่กับภาพลักษณ์ของตัวเองที่เข้าใจสิ่งต่างๆ
ได้อย่างรวดเร็ว
ง่ายดาย
คุณสามารถย้อนกลับไปสู่ความทรงจำรำลึกตลอดเวลาที่คุณเข้าใจเหตุการณ์ต่างๆ
ในขณะที่พวกมันเกิดขึ้น
อะไรก็ตามที่กำลังเกิดขึ้นในชีวิตของคุณ
คือสิ่งที่มาจากภาพลักณ์ที่คุณส่องออกไปดึงดูดสถานการณ์อันสอดคล้องให้เข้ามาหา
ภาพเหล่านี้พบได้อย่างแท้จริงใการระลึกรู้แห่งจิตสำนึก..
ซึ่งคุณสามารถแปลงเปลี่ยนสถานการณ์ใดๆก็ตามโดยการพิจารณาและแปลงเปลี่ยนจิตตนาการของตัวเอง
ถ้าคุณมีเวลานั่งอย่างปล่อยวางสัก
2-3 นาที
จงเปิดเพลงที่มีท่วงทำนองเบาๆ
และไม่คิดถึงสิ่งใด
นอกจากสถานการณ์ที่อยู่ใกล้มือ
แล้วจะพบว่าตัวเองกำลังเคลื่อนผ่านไปได้อย่างรวดเร็ว
และสามารถปล่อยเป็นอิสระจากมันในเวลาต่อมา..
โดยไม่จำเป็นต้องครุ่นคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก
ในการเคลื่อนย้ายสู่ระดับจิตสำนึกที่สูงกว่านั้น
ต้องมีคุณสมบัติที่แน่นอนต่างๆ
ซึ่งหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือความมุ่งมั่น
ถ้าจิตใจของคุณครุ่นคิดถึงประเด็นต่างๆ
10-15
เรื่องเสมออาจต้องใช้เวลาหลายสัปดาห์กว่าจะจัดการอย่างแจ่มแจ้ง
ตลอถ้าคุณพบว่าตัวเองคิดถึงสิ่งต่างๆ
มากมายและรู้สึกถูกกดดันกระจัดกระจาย
สับสนวุ่นวาย
หรือถ้าคุณพบว่าไม่มีเวลามากพอละก็หมายความว่าจิตใจกำลังพยายามจัดการกับสิ่งต่างๆ
มากเกินไป
แต่ละโอกาสมีจุดประสงค์สูงสุดของตัวเขาหรือเธอเช่นกัน
ถ้าคุณพร้อมที่จะยกตัวเองขึ้นสู่พลังระดับที่สูงกว่า
คุณสามารถทำเช่นนั้นได้โดยการใช้เวลากับมันให้มากขึ้น
คุณจะเป็นผู้ที่ตระหนักเมื่อมีบางสิ่งที่ทำให้ระดับพลังต่ำลง
ผู้เขียนจะบอกให้คุณทราบเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ
ที่ทำให้พลังของผู้คนลดต่ำลงมากที่สุด.
นั่นคือการพูดจาเกี่ยวกับโลกียวิสัย
หรือสิ่งที่ให้ความรู้สึกในทางทำลาย
อ่านบทความในหนังสือพิมพ์
นิตยสารที่บรรยายถึงความเจ็บปวดรวดร้าว
หรือความขัดแย้งที่ขาดเหตุผล
รวมทั้งการไม่รับฟังเสียงเรียกของร่างกาย
(ไม่พักผ่อนเมื่อเหนื่อยอ่อน
ไม่กระฉับกระเฉงเมื่อมีพลังอยู่เปี่ยมล้น)
หรือคิดถึงอดีตที่เคยเจ็บปวดและหวาดกลัวต่ออนาคตที่ยังมาไม่ถึง..
คุณหนุนเนื่องพลังงานเมื่อคุณทำในสิ่งที่รู้สึกพึงใจ
กล่าวคือถ้าคุณตั้งเป้าหมายในการทำบางสิ่งให้บรรลุผล
และยังพบว่าตัวเองต้องการทำสิ่งอื่นอีก
คุณก็จะยกระดับพลังขึ้นมาด้วยการลุกขึ้นและทำสิ่งดังกล่าว
ซึ่งอาจพบว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้
แปลงเปลี่ยนไป
หรืออาจพบการหยุดยั้งจากสิ่งที่คุณจำเป็นต้องเติมประจุพลังให้กับความกระตือรือร้น
...
ขณะมุ่งมั่นอยู่กับสิ่งที่ดีเกี่ยวกับผู้คนคุณสามารถทำให้พวกเขาบรรลุถึงมันได้..
มีแนวทางอยู่มากมายในการหล่อเลี้ยงพลังงานของคุณ
เริ่มด้วยการเป็นผู้ที่ตระหนักในสิ่งที่คุณพูดจากับผู้คน
คุณแต่งเสริมเติมกำลังใจให้พวกเขาหรือไม่?
คุณกำลังยึดเหนี่ยวอยู่ที่ทัศนะแห่งศีลธรรมอันสูงส่งของพวกเขาหรือไม่?
อะไรก็ตามที่คุณใส่ใจ
มันก็จะเจริญงอกงาม..
ถ้าคุณมุ่งมั่นอยู่ที่ความอ่อนแอของผู้คน
ตอกย้ำจิตใจด้วยข้อผิดพลาดของพวกเขา
มันก็จะแข็งแกร่งขึ้นถ้า
คุณมีสถานการ์ใดๆ
ในชีวิตที่ไม่ราบรื่น
ยิ่งสร้างภาพมันไม่ราบรื่นมากเพียงใด
คุณก็สร้างสภาวะดังกล่าวให้เกิดขึ้นมากเพียงนั้น..
เมื่อบุคคล 2 คน
เริ่มแรกรักกัน
พวกเขามองเห็นสิ่งดีงามที่สุดของแต่ละฝ่ายและประทับภาพนั้นไว้
พวกเขาพบว่าตัวเองสามารถบรรลุสิ่งใหม่ต่างๆ
และละทิ้งรูปแบบในทางทำลายดั้งเดิมไปอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
...
คุณสามารถช่วยเหลือผู้คนได้อย่างใหญ่หลวง
ด้วยการยึดมั่นภาพลักษณ์แห่งความสำเร็จ
ความสุข
และมั่งคั่งร่ำรวยของพวกเขาเอาไว้..
จงตระหนักถึงภาพลักษณ์ตนเองที่สร้างชึ้นเมื่อพูดจากับผู้อื่น..
คุณพูดถึงความเจริญรุ่งเรือง
ความสุขและความมั่งคั่งร่ำรวยหรือกล่าวถึงความเจ็บปวดรวดร้าว
เศร้าโศก
และปัญหาหน่วงหนักต่างๆ
ผู้คนล้วนสร้างภาพลักษณ์ของคุณขึ้นในจิตใจขณะที่คุณพูดกับพวกเขา
คุณอาจคิดว่าถ้าบอกทุกคนว่าชีวิตของคุณมั่งคั่งสมบูรณ์อย่างยิ่งทั้งๆ
ที่มิได้เป็นเช่นนั้น
จะเป็นการโกหกหลอกลวงอย่างไรก็ตาม..
ผู้เขียนอยากกล่าว่า
ถ้าคุณบอกใครๆ
ว่าชีวิตมั่งคั่งพรั่งพร้อมเพียงไรละก็
ในไม่ช้าสิ่งนั้นจะกลายเป็นจริง..
จงเฝ้ามองถ้อยคำและพลังงานของคุณขณะชีวิตดำเนินไปในทันทีที่คุณสังเกตเห็นพลังของตัวเองกำลังลดน้อยถอยลง
ความคลางแคลงสงสัยนั้นก็คืบคลานเข้าสู่จิตใจ
จงหยุดยั้งความรู้สึกที่ไม่ดีเกี่ยวกับตนเองด้วยการสูดลมหายใจลึกๆ
และพิจารณาเข้าไปภายใน
กำหนดอยู่ที่ภาพลักษณ์อันสูงล้ำกว่า
คุณถ่ายทอดภาพลักษณ์ต่างๆ
ออกไปจากชั่วขณะหนึ่งสู่ชั่วขณะหนึ่ง..
จากนั้นผู้คนก็ค้นพบและสนองตอบต่อภาพลักษณ์ดังกล่าว?
ถ้าต้องการทราบว่าทำไมบางสิ่งจึงเกิดขึ้นกับคุณ..
จงยึดมั่นอยู่กับความเชื่อที่ว่า
"คุณรู้แล้วว่าทำไม"
และมันเป็นความสำคัญอย่างยิ่งในการเรียนรู้ที่จะให้อภัย
เพราะว่าทุกครั้งที่คุณย้อนหวนปลายทางตามนั้น..
ในเวลากลางวันที่ผ่านมา
ความคิดของคุณอยู่ที่ไหน?
บ่อยครั้งเพียงใดที่คุณคิดถึงทัศนคติสูงสุดและตัวตนท่สูงล้ำกว่าของคุณ...
ในการนำจิตใต้สำนึกมารับรู้ตัวตนที่สูงกว่านั้นจงพิจารณาแต่ละขอบเขตแห่งชีวิต
แลถถามว่า
"ทัศนคติสูงสุดของฉันคืออะไร?"
คุณอาจคิดว่าคุณจำเป็นต้องหมกมุ่นอยู่กับรายละเอียดประจำวันของชีวิตในทางโลก
แต่อย่างไรก็ตาม
สิ่งต่างๆ
เหล่านี้สามารถได้รับการดูแลเอาใจใส่โดยไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างหน่วงหนัก
ถ้าคุณตั้งมั่นอยู่กับทัศนคติอันสูงส่งและแนวทางที่สูงล้ำกว่าจงพิจารณาที่ระดับแห่งความมั่งคั่งสมบูรณ์
ว่าคุณปล่อยให้จักรวาลหยิบยื่นสิ่งต่างๆ
ให้มากแค่ไหน
เป็นความสำคัญอย่างยิ่งในการค้นให้พบแรงกระตุ้นที่ลึกซึ้งกว่า..
มีวิถีทางหนึ่งเพื่อเพิ่มพูนการได้มาให้มากขึ้นหรือไม่?
ถ้าคุณต้องการบางสิ่ง
เช่น
มีเงินมากขึ้น
จงถามตัวเองว่าทำไม?
คุณจะได้รับสิ่งใดจากการมีเงินเพิ่ม?
ถ้าคุณต้องการบางสิ่ง
อะไรคือแรงกระตุ้น?
ถ้าคุณตระหนักถึงแรงกระตุ้นของตัวเอง
ก็จะล่วงรู้ถึงพลังผลักดันเบื้องหลังทุกสิ่งที่คุณกระทำ
แรงกระตุ้นหรือเหตุจูงใจ
คือพลังผลักดันที่สามารถบันดาลสิ่งใดก็ตามที่ต้องการมาให้
คุณอาจกล่าวว่า
"
ถ้าฉันเป็นเจ้าของรถคันนี้
หรืองานนั้น
หรือผู้ชายคนหนึ่ง
ฉันก็จะมีความสุขมาก"
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า
มันมีอะไรมากกว่าสิ่งที่ปรากฏแก่สายตาเพราะถ้าคุณตระหนักถึงแรงกระตุ้นอันลึกล้ำที่สุดสำหรับการได้มาซึ่งสิ่งเหล่านี้
คุณก็สามารถบรรลุความมุ่งมาดปรารถนาในหลายทิศทาง
อาจเป็นว่าคุณต้องการความสุขสราญเบิกบานใจ
หรือความมั่นคง
รู้สึกถึงการผ่อนคลาย
ความรัก
หรือการยอมรับมากขึ้น
เมื่อคุณเข้าถึงการผ่อนคลาย
ความรัก
หรือการยอมรับมากขึ้น...
เมื่อคุณเข้าถึงประเด็นสำคัญของสิ่งที่ปรารถนา
คุณก็สามารถได้รับมันในแนวทางที่แตกต่างหลากหลาย
ถ้าคุณมิได้มุ่งมันอยู่กับสิ่งอันเฉพาะเจาะจงเพื่อนำพาคุณไปสู่สิ่งที่มุ่งหวัง..
จักรวาลก็สามารถเริ่มต้นนำความมั่งคั่งร่ำรวยมาสู่คุณได้หลายทิศทางอย่างแท้จริง..
เมื่อคิดถึงประเด็นต่างๆ
ที่ต้องการแก้ปัญหานั้น
คุณมีทางเลือก 2
สาย ....
กล่าวคือสามารถร้องขอต่อตัวตนที่สูงล้ำกว่าเพื่อหยิบยื่นมุมมองที่สูงกว่าของประเด็นดังกล่าว
หรือคุณอาจปล่อยวางประเด็นปัญหาให้กับตัวตนที่สูงล้ำกว่าของคุณ
และร้องขอให้ตัวตนที่สูงล้ำกว่า
(จิตใต้สำนึก)
ดังกล่าวจัดการกับมันแทน
ซึ่งคำตอบที่ดีที่สุดจะปรากฏออกมาเอง...
มีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของตัวเองให้สูงล้ำกว่าเดิมขอร้องเพื่อนๆ
ให้ยึดถือภาพลักษณ์อันเฉพาะเจาะจงของคุณเอาไว้...
อย่างเช่นสร้งภาพของคุณประสบความสำเร็จในบางสิ่งที่กำลังกระทำ
ถ้าคุณไม่มีภาพใหม่ๆ
จิตใจก็มีแนวโน้มที่จะย้อนกลับไปสู่รูปแบบความคิดเก่าๆ
ถ้าคุณเต็มไปด้วยความคิดในสิ่งที่จะเป็นความเริงรื่นในชีวิตอย่างจริงแท้แน่นอน
อย่างเช่นการเดินทางท่องเที่ยว
การมีเวลาว่างมากขึ้น
สัมพันธภาพที่ราบรื่น
...
สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงขึ้นทุกๆ
วัน
คุณก็ไม่มีเวลาคิดถึงความเจ็บปวดรวดร้าวเก่าๆ
หรือในระดับโลกียวิสัยปกติ
เมื่อเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของตัวเอง
ก็เท่ากับแปลงเปลี่ยนการสัมผัสพลังงาน
คุณสามารถควบคุมพลังที่คุณติดต่อเกี่ยวข้องด้วย
ถ้าพบว่าผู้คนที่กำลังพูดเกี่ยวกับคุณในวิถีทางที่ไม่สอดคล้องกับทัศนะที่สูงล้ำกว่าของคุณ
หรือคิดเกี่ยวกับคุณในแนวทางที่มิได้ยกย่องให้เกียรติละก็
แทนที่จะเปิดกว้างและรับเอาภาพลักษณ์ของพวกเขาเอาไว้
จงถ่ายทอดภาพลักษณ์ของตัวคุณกลับไป
ถ้าคุณต้องการให้พวกเขามองเห็นคุณในฐานะบุคคลเข้มแข็งและทรงพลังอำนาจ
จงส่งภาพลักษณ์แห่งตัวคุณเองออกไปในลักษณะนั้น
แต่ถ้าคุณคิดถึงแต่ความผิดพลาดที่ก่อขึ้น
ก็จะส่งภาพดังกล่าวออกไป
และพวกเขาจะค้นหาวิธีการมาทำให้คุณผิดพลาดยิ่งขึ้น
มองเห็นทุกคนเจริญก้าวหน้าแล้วคุณจะมองเห็นตัวเองแบบเดียวกันด้วย
จงเริ่มต้นส่งภาพลักษณ์แห่งความสร้างสรรค์ไปให้ผู้อื่น
มองเห็นพวกเขาในฐานะกำลังบรรลุเป้าหมายและก่อเกิดความสำเร็จคุณสามารถมีความรับผิดชอบสำหรับการส่งภาพอันสูงส่งแห่งตัวเองและผู้อื่น
มองเห็นอัญมณีที่แฝงฝังอยู่ในผู้คน
ยอมรับขณะเมื่อคุณพบปะ
พูดคุยถึงความก้าวหน้า
ความสวยสดงดงาม
และความเจริญรุ่งเรืองของพวกเขา
ถ้าพวกเขาต้องการหยิบยื่นเรื่องราวในทางทำลายของตัว
เองออกมาละก็
จงอย่าคล้อยตาม
แต่แสดงความเห็นอกเห็นใจและช่วยพวกเขาให้ตระหนักถึง
"ของขวัญ"
ที่สถานการณ์ดังกล่าวกำลังมอบให้
ถ้าคุณได้ยินผู้คนพูดถึงสิ่งต่างๆ
ในทางทำลาย
จงส่งภาพสร้างสรรค์ไปให้และแปลงเปลี่ยนการสนทนาในทันที
ยึดมั่นอยู่กับภาพลักษณ์หนึ่งแห่งจุดมุ่งหมายอันสูงล้ำกว่าเอาไว้
จากนั้นความคิดและสถานการณ์โดยรวมต่างๆ
ที่ปรากฏขึ้นในจิตใจจะชักนำไปในทิศทางนั้นเอง..
คุณประหลาดใจว่าเหตุการณ์ที่เข้าสู่จิตใจ
คือความจริงหรือเป็นเพียงบางสิ่งที่คุณสร้างมันขึ้น
เมื่อคุณได้รับหรือตระหนักถึงรูปแบบแห่งวิถีทางการดำเนินชีวิต..
คุณอาจประหลาดใจว่าเป็นสิ่งที่คุณควรกระทำ
หรือมันเป็นเพียงความปรารถนา
หรือข้อมูลที่ไม่ถูกต้องกันแน่
ถ้าคุณร้องขอการชี้แนะชักนำจงเชื่อมั่นข่าวสารที่ปรากฏขึ้นในจิตใจ..
บางครั้งการชี้แนะชักนำอาจเป็นสิ่งง่ายๆ
ที่บ่งบอกถึงการกระทำในขั้นตอนต่อไป...
ซึ่งมันอาจเป็นบางสิ่งที่ธรรรดาสามัญอย่างเช่นการไปยังที่ทำการไปรษณีย์
หรือเขียนจดหมายฉบับหนึ่งแต่กระนั้นพวกเราบางคนก็ต้องการรู้แนวทางปฏิบัติล่วงหน้าเป็นเวลาหลายเดือน
หรือหลายปี..
ถ้าคุณล่วงรู้ ..
มันจะเป็นเพียงรูปแบบที่เป็นไปได้เท่านั้น
และบางทีอาจเป็นรูปแบบหนึ่งที่สามารถจำกัดขอบเขตของเราเอาไว้จนพวกเราบางคนกลายเป็นผู้ที่ท่วมท้นไปด้วยอารมณ์และพบว่าเป็นการยากที่จะเริ่มต้น
คุณอาจพบแม้กระทั่งว่ามันมีความยินดีน้อยกว่าในการรู้ล่วงหน้าอนาคตทั้งหมด..
ถ้าต้องการสิ่งต่างๆ
มากกว่าที่มีอยู่ในปัจจุบันละก็
คุณสามารถครอบครองมันโดยอาศัยความไว้วางใจ...
เมื่อใดก็ตามที่คุณตัดสินใจในการเป็นผู้มั่งคั่งร่ำรวย..
สิ่งที่จะปรากฏนั้นมีมากกว่าที่คุณสามารถวาดภาพเอาไว้เสียอีก...
ถ้าคุณต้องการแนวทางหนึ่งแห่งการดำเนินชีวิตและยังไม่ได้รับ..
อาจเป็นเพียงเงื่อนไขของเวลา
คุณอาจกำลังได้รับการตระเตรียมสำหรับแนวทางนั้นอยู่ก็ได้..
คุณชักนำสิ่งใดก็ตามที่มุ่งมาดปรารถนามาสู่จิตสำนึก..
ถ้าคุณรู้สึกถึงอุปสรรคขวากหนาม
คุณสามารถค้นพบคำตอบด้วยการร้องขอจากพวกมัน
คุณสามารถแปลงเปลี่ยนสถานการณ์ใดๆ
ก็ตามด้วยภาพลักษณ์แห่งความสงบเย็น
และสามารถปลดปล่อยปัญหาต่างๆ
ให้จักรวาลเป็นผู้ขานไขในวิถีทางที่สูงล้ำกว่า...
บางครั้งความรู้สึกปิติยินดีสามารถเกิดขึ้นจากการได้รับรู้ว่าคุณมิได้อยู่อย่างเดียวดาย..
รู้ว่าถ้าร้องขอความช่วยเหลือและการชี้นำก็จะได้รับสิ่งดังกล่าว..
ถ้าคุณพร้อมที่จะเชื่อมโยงกับจักรวาล
คุณก็สามารถครอบครองทุกสิ่งที่ต้องการ..
คุณมิได้อยู่ตามลำพัง
เพราะถ้าคุณมุ่งไปสู่จุดมุ่งหมายอันสูงสุด
คุณจะพบว่าประตูทุกบานเปิดกว้าง
..
จักรวาลจะหยิบยื่นแนวคิดและความช่วยเหลือมาให้..
ผู้คนจะติดต่อกับคุณ...
พร้อมด้วยความช่วยเหลือ
เงินทอง
คำแนะนำความรัก
และการรองรับสนับสนุน
จงสร้างข้อผูกมัดเสียงแต่บัดนี้และเลือกจุดมุ่งหมายอันสูงสุด
ยึดมั่นทัศนะอันสูงส่งดีงามนั้นเอาไว้พร้อมกับเปิดกว้างจิตใจไว้สำหรับสิ่งที่ทำให้ประหลาดใจทั้งหลายทั้งมวล
พวกเราทุกคนมีภาพรวมของสิ่งที่จะมีความหมายต่อการรักตัวเองมากขึ้น
สำหรับบางคนมันอาจหมายถึงการงานที่ดีกว่าหรือทางออกของปัญหาหนึ่ง...
ถ้าคุณต้องการรักตนเองมากกว่าเดิมละก็...
ความท้าทายอันดับแรกคือการมองให้ทะลุลึกกว่าคุณสามารถแปลงเปลี่ยนภาพลักษณ์แห่งความรักตนเองได้หรือไม่
ทุกสิ่งที่คุณคิดเอาไว้
ในฐานะความรักที่เกี่ยวกับตนเองเมื่อ
2 ปี ก่อน
เป็นไปได้มากที่สุดว่าคุณ
บรรลุมันได้ในบัดดล....
อย่างไรก็ตาม
ด้วยเหตุผลบางประการ
เมื่อคุณได้รับมันและมิได้ก่อเกิดความรู้สึกดั่งคาดหมาย
จงพิจารณาถึงสิ่งที่คุณมุ่งมาดปรารถนาในปัจจุบันและตั้งคำถามว่า..
"อะไรคือหัวใจสำคัญที่อยู่เบื้องหลัง?"
อะไรคือความต้องการอย่างแท้จริง?"
มันอาจเป็นความสงบสุข
หรือการใช้ชีวิตอยู่กับการอาบแดดมากขึ้น
ตอนนี้คุณสามารถได้รับสิ่งต่างๆ
เหล่านั้นในวิถีทางที่แตกต่างหลากหลาย
ทุกครั้งที่คุณคิดถึงอนาคต
เท่ากับคุณถ่ายทอดพลังงานไปให้มัน
แม้แต่คำพูดพึมพำที่ว่า..
"ฉันไม่เคยทำอะไรสำเร็จเลย"
หรือ
"ฉันไม่รู้ว่าทำไมสิ่งนี้จึงเกิดขึ้น
" หรือ
"ฉันเชื่อว่าตัวเองไม่สามารถทำมันได้"
ความคิดเห็นทุกประการที่สร้างขึ้นนั้นล้วนชักนำพลังงานไปสู่อดีต
ปัจจุบัน
แลอนาคตทั้งสิ้น
ถ้าคุณสามารถตระหนักแม้แต่ความคิดหนึ่งในร้อยกำลังส่งไปสู่อนาคตและแปลงเปลี่ยนมันได้..
ภายในหนึ่งเดือนคุณจะตระหนักถึงความสุขใจที่เด่นล้ำเหนือกว่าสถานการณ์โดยรวมทั้งหลายในปัจจุบัน..
ทุกๆ
ถ้อยคำเกี่ยวกับตัวคุณที่กล่าวกับเพื่อนผู้หญิง
หรือตัวเองก็ตาม
จะกลายเป็นความจริงแท้แน่นอน
คุณถ่ายทอดพลังงานออกไปทุกวินาที
ถ้าต้องการอนาคตที่ดีกว่า
จงพูดถึงมัน...
สร้างภาพเอาไว้ในใจ
และพูดคุยสาธยายกับผู้อื่น
เพราะมีเพียงคุณ
เท่านั้นที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งที่ต้องการให้กับตัวเองได้..
มันเป็นพลังอันยิ่งใหญ่สูงสุดที่ยอมรับนับถือ
และอภินันทนาการแด่คุณ
มากกว่าที่เคยได้รับมาอย่างเทียบกันไม่ได้...
สรุป
|
1.
กำหนดสถานการณ์หนึ่งในชีวิตที่คุณต้องการทำความเข้าใจอาจเพื่อการเรียนรู้ว่าทำไมคุณจึงก่อเกิดมันขึ้นมา
หรือมันให้บทเรียนอะไรกับคุณบ้างจงเขียนลงไปให้ละเอียด |
2.
นั่งหลับตาอย่างสงบระงับ
ผ่อนคลาย
จินตนาการว่าคุณกำลังถือสถานการณ์หนึ่งไว้ในมือ
จินตนาการแสงสว่างสาดส่องลงสู่สถาณการณ์ดังกล่าว
และปลดปล่อยมันสู่ตัวตนที่สูงล้ำกว่าของคุณมองเห็นตัวคุณเองกำลังได้รับคำตอบ....
ไม่คิดถึงสิ่งอื่นใดนอกจากสถานการณ์นี้เป็นเวลา
5 หรือ 10 นาที |
3.
แนวทางไหนที่สถานการณ์นี้เพิ่มพูนพลังภายในของคุณขณะที่ผ่านพบมัน?
มันให้บทเรียนอะไรแก่คุณ
?
คุณภาพแห่งจิตวิญญานใดที่คุณกำลังพัฒนา(อย่างเช่นความรัก
ความอดทนอดกลั้นและความไว้วางใจ)?
ขณะที่เข้าใจสภาวะนี้
คุณจะผ่านพ้นเหตุการณ์ดังกล่าวไปได้อย่างรวดเร็ว |
|
|
|
|
|