ก็สิ้นสุดกันไปแล้วนะครับกับการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่6มกราคมปีนี้ และการเลือกตั้งครั้งที่2ที่ผ่านมาจะเห็น
ว่าการเมืองของไทยเราทั้งระบบก็คิดว่าพัฒนาไปมากนะครับเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งก้าวหน้ากว่าอย่างไร
ก็ไม่ขอพูดถึงนะครับก็เห็นๆกันอยู่เห็นใหมละครับว่าเมืองไทยเรายังมีดีกว่าคนอื่นอีกหลายสิ่งนะครับ
การเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาทำให้เราเห็นปรากฏการณ์ใหม่ๆหลายอย่างของวงการการเมืองไทยซึ่งไม่เคยมีมาก่อน
เมื่อยังใช้กฎหมายเลือกตั้งฉบับบเดิมอยู่ คำหลายคำเริ่มเป็นที่คุ้นหูของคนไทย เช่นคำว่า ปาตี้ลิส ซึ่งอาจแปล
ตรงๆได้ว่าคือระบบบัญชีรายชื่อของพรรรค ตลอดจนคำว่าใบแดง ใบเหลือง แหมฟังแล้วยังกะดูฟุตบอล
นะครับ นอกจากนั้นแล้วในการเลือกตั้งครั้งนี้ประชาชนและองค์กรอิสระต่างๆก็เข้ามามีส่วนร่วมมากมาย
ที่เห็นชัดๆก็มี p-net แล้วก็กกต.
สำหรับในเขตเลือกตั้งที่โดนใบเหลืองก็มีการเลือกตั้งใหม่กัน อาจเป็นครั้งที่ 2 หรือครั้งที่ 3 ก็ยากที่จะรู้นะครับ
ก็แล้วแต่การปฏิบัติตนของนักการเมืองที่สมัครรับเลือกตั้งท่านจะทำตัวกัน แต่เราก็เชื่อว่าการที่เป็น
เช่นนี้จะทำให้เราได้นักการเมืองที่เดินเข้ามาในสภา ไม่ว่าจะเป็นน้ำดีหรือน้ำเน่าที่จะเข้าสู่สภานั้นอย่างน้อยๆก็คิดว่า
เข้ามาอย่างใสสอาด ถึงแม้ว่าจะสะอาดไม่ถึงกับบริสุทธิ์ก็ดีกว่าครั้งที่ผ่านๆมา การเลือกตั้งครั้งนี้อาจมองว่ามีการโกงกันมาก
แต่ผมคิดคล้าย(แต่ไม่หมด)กับท่านหัวหน้าพรรคไทยรักไทยที่ท่านพูดไว้เมื่อวันก่อนนะครับ ที่ว่า "การเลือกตตั้งครั้งนี้ดูเหมือนว่าจะมี
การโกงกันมากแต่จริงๆแล้วการโกงน้อยกว่าครั้งก่อนมาก" แต่จะมากหรือจะน้อยกว่าครั้งก่อนนั้นผมก็ไม่อาจไปรู้ได้ครับ
ปรากฎการณ์อย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นในการเมืองไทยที่ถือว่าเป็นคร้งแรกตั้งแต่ที่เรามีการเลือกตั้งมา
ก็คือการที่มีพรรคการเมืองพรรคเดียวที่ได้ที่นั่งเข้ามาในสภาเกินครึ่ง แน่นอนเป็นพรรคใหนไปไม่ได้นอกจาก
พรรคไทยรักไทยของท่าน พตท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร มหาเศรษฐีอันดับต้นๆของเมืองไทย
ผู้ที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจจนเป็นที่รู้จกของคนทุกคนในเมืองไทยในวันนี้
ที่พรรคไทยรักไทยประสบความสำเร็จเช่นนี้หลายคนอาจมองว่าเป็นเพราะว่ากระแสที่คนไทย เริ่มที่จะเบื่อนายชวน บ้าง
เพราะการที่รัฐบาลชุดก่อนเข้ามาบริหารบ้านเมือง3ปีแล้ว (ดูเหมือน)ไม่มีผลงานอะไรเลย แต่นายกช่วนตอนนั้นผมเผ้ายุ่งเหยิงทุกวันเลย
ถ้าไครสังเกต จะเพราะอะไรก็แล้วแต่ครับ แลือกตั้งครั้งนี้ก็เรียบร้อยพรรคไทยรักไทยไปแล้ว
การที่พรรคไทยรักไทยประสบความสำเร็จครั้งนี้ก็ต้องยกให้ความฉลาดของท่านหัวหน้าพรรคนไทยรักไทยนะครับ
ที่สามารถประยุกต์เทคนิคและหลักการดำเนินธุรกิจเข้ากับเรื่องของการเมมืองได้อย่างสนิทไร้รอยต่อซึ่งผมได้ตั้งข้อสังเกตได้ดังนี้
เรามาดูกันเรื่องแรกนะครับที่ตราของพรรคไทยรักไทยที่เป็นรูปตัว ท.ทหารสีธงชาติตัวเดียวซิครับที่ทำอย่างนี้ผมคิดว่ามัน
ไปตรงกับหลักการตลาดที่ว่าถ้าเราจะขายสินค้าสักอย่างหนึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสินค้าของเราต้อติดตาลูกค้าเครื่องหมายทางการค้า
ตราของสินค้าจะต้องจำง่ายเห็นเว็บเดียวก็จำได้ ตราของพรรคไทยรักไทยก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันครับ ข้อดีของตราพรรคแบบนี้ลอง
ดูตอนเลือกตั้งซิครับ ตรารของพรรคการเมืองพรรคอื่นส่วนมากก็จะเป็นรูปวงกลมข้างในมีอะไรก็ไม่รู้มั่วๆถ้าไม่แกล้งจำก็จำไม่ได้
แต่ตราของพรรคไทยจำง่ายแม่แต่คนที่อ่านหนังสือไม่ออกก็ยังสามารถกาถูกเลยครับ
ต่อไปก็ไปดูกันที่คำขวัญของพรรคกันบ้างนะครับ เห็นใหมละครับว่าสินค้าแทบทุกชนิดในท้องตลาดเลยครับก็จะมีสโลแกนหรือคำขวัญ
เป็นของตัวเองที่ทำให้เข้าใจถึงสินค้าและบริการนั้นๆเป็นอย่างดีก็เห็นๆกันอยู่หลายอย่างนะครับไม่ต้องมายกตัวอย่างกันตอนนี้ซึ่งคิดว่า
ทุกคนคงจะเคยเห็นกันอยู่แล้วนะครับ อย่างสโลแกนของพรรคไทยรักไทยก็คือ "คิดใหม่ทำใหม่เพื่อไทยทุกคน" เข้ากับเหตุการณ์ใหม
ละครับ เหตุการณ์ที่คนไทยส่วนมากกำลังจะเบื่อของเก่าหมายถึงรัฐบาลชุดเก่าก็ไม่ผิด แน่นอนเลยครับเจอสโลแกนอย่างอย่างนี้ก็
ทำให้คนส่วนมากมองไปที่ไทยรักไทยว่า เออมันน่าจะดีกว่าเก่านะ
ที่นี้ก็มาดูที่นโยบายของพรรคบ้างนะครับ นโยบายของพรรคไทยรักไทยก็ไปตรงกับหลักการตลาดที่ว่า การที่ผลิตสินค้าสักอย่าง
ออกมาขายในท้องตลาดจะให้ขายได้ เราก็ต้องผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการของท้องตลาด แน่นอนครับถ้าผลิตของที่คนต้องการ
ก็ขายได้แน่นอนใช่ใหมละครับ ลองฟังนโยบายของพรรคไทยรักไทยดูซิครับ
รักษาโรคครั้งละ30 บาท
กองทุนหมู่บ้านหมู่บ้านละ 1 ล้านบาท
พักหนี้เกษตรกร 3 ปี
ตรงใจคนส่วนใหญไหมละครับ ถามหน่อยครับว่าคนไทยส่วานใหญ่เป็นหนี้ ธกส.ใหม ตอบว่าใช่ แล้วเงินหมู่บ้านละ 1 ล้านบาทละ
ให้เอามานริหารกันเองอยากได้ไหมครับ ตอบได้เลยว่าไม่มีไครปฏิเสธทุกคนต้องบอกว่าต้องการ อยากได้
ไปโรงพยาบาลแล้วจ่ายครั้งละ 30 บาทละดีใหม ไม่มีไครบอกว่าไม่ดีแน่นอน เห็นไหมละครับว่านโยบายของพรรคไทยรักไทยนั้นโดนใจคนจน
ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ
ไม่ใช่มีแต่นโยบายที่โดนใจคนจนเท่านั้นนะครับ ที่โดนใจคนรวยก็มีเหมือนกันนะครับก็ดูซิครับนโยบายจัดตั้ง บรรษัท บริหารสินทรัพย์แห่งชาติ หรือ
AMC (acess management company) คือการที่ทางราชการเข้าไปซื้อหนี้ที่ มี NPL หรือหนี้เสีย เข้ามาจัดการและบริหารเอง
แล้วความสบายก็จะตกไปอยู่กับไครละครับ จะเห็นว่านโยบายโดยภาพรวมเป็นที่ต้องการของคนทุกระดับเลยทีนี้เห็นถึงความคิดที่ลำเลิศของ
ผู้ที่ร่างนโยบายไงละครับ
สุดท้ยมาดูกันที่การส่งเสริมภาพลักษณ์ของพรรคกันบ้าง จะเห็นว่าภาพที่คนส่วนใหญ่มองพรรคไทยรักไทยก็จะออกไปค่อนข้างที่จะเห็นว่าเป็นพรรค
ของคนรุ่นไหม่ ผู้สมัครส่วนมากเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ผมว่าเป็นเช่นนี้เฉพาะในกรุงเทพ(ดูจากที่ได้รับการเลือกตั้งเข้ามา)โดยที่ความจริงแล้วมี สส.ใหม่
กี่คนก็รู้ๆกันอยู่นะครับ
ทีนี้รู้แล้วหรือยังละครับว่าทำไมพรรคไทยรักไทยจึงประสบผลสำเร็จในการเลือกตั้ง
และไม่แปลกใจเลยนะครับว่าทำไมท่านหัวหน้าพรรคจึงประสบผลสำเร็จในการทำธุรกิจจนก้าวมาเป็นเศรษฐีระดับต้นๆของไทยเลย
แต่เรื่องการเมืองคงจะไม่ง่ายเหมือนกันนะครับเพราะเป็นเรื่องผลประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ไม่ใช่เรื่องของพรรคพวกและกลุ่ม
นโยบายต่างๆที่พรรคเคยหาเสียงเอาไว้ก็คงจะต้องหยิบเอาทำให้เป็นรูปธรรมตามที่สัญญาไว้กับประชาชน ถึงตอนนั้นคงจะเป็นการพิสูจน์
ฝีมือของผู้บริหารพรรคไทยรักไทย แล้วรอดูอย่ากระพริบตานะครับ
2/กุมภาพันธ์/2544