|
ถาม : แพทย์แนะนำให้มากรุงเทพฯ เพื่อมาตัดม้าม เมื่อไรควรจะตัดดี?
ตอบ :
ถาม : ลูกชายอายุ 5 ขวบ เป็นโรคธาลัสซีเมีย ควรได้รับยาขับเหล็กหรือไม่?
ตอบ :
ถาม : ทำไมผู้ป่วยธาลัสซีเมียจึงมีธาตุเหล็กมากทั้ง ๆ ที่เป็นโรคเลือดจาง ควรรับประทานอาหารประเภทใดและงดอาหารประเภทใดบ้าง?
ตอบ :
ผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียมีธาตุเหล็กในร่างกายมากกว่าคนปกติ เพราะแม้ว่าธาตุเหล็กจะถูกขับอกจากรางกายได้เท่าเทียมคนปกติ แต่เนื่องจากเม็ดเลือดแดงในร่างกายของผู้ที่เป็นโรคนี้อายุสั้น แตกง่าย ในเม็ดเลือดแดงมีธาตุเหล็กอยู่ จึงปลดปล่อยตกค้างภายในร่างกายนอกจากนั้นภาวะซีดทำให้ลำใส้ดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารเพิ่มมากกว่าปกติ และยิ่งมีการให้เลือดด้วยเมื่อเม็ดเลือดแดงที่ได้รับเสื่อมตายไปในร่างกาย เหล็กจากเม็ดเลือดแดงเหล่านั้นก็จะตกค้างสะสมอยู่ในร่างกายเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยโรคนี้ควรรักษาสุขภาพอนามัยให้ดี เพราะถ้าเจ็บป่วยไม่สบายบ่อย ๆ จะทำให้ยิ่งซีดลงกว่าเดิม ทำให้รับเลือดบ่อยขึ้น เหล็กสะสมก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เป็นผลเสียต่ออวัยวะต่าง ๆ ตามไปด้วย คนที่เป็นโรคธาลัสซีเมียเมื่อเม็ดเลือดแดงแตกเร็ว ร่างกายก็จะพยายามสร้างเม็ดเลือดแดงใหม่ขึ้นมาแทน สร้างมากและสร้างเร็วกว่าคนปกติหลายเท่าฉะนั้นควรรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ไข่ นม และอาหารที่มีวิตามินที่เรียกว่า "โฟลิค" อยู่มาก ได้แก่ผักต่าง ๆ ผักสดสารอาหารเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ อาหารทีควรละเว้นคือ อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงเป็นพิเศษ เช่น เลือดเป็ด เลือดไก่ และไม่ควรซื้อยาบำรุงเลือดกินเอง เพราะอาจเป็นยาที่ธาตุเหล็กซึ่งใช้สำหรับรักษาคนที่ซีดจากการขาดธาตุเหล็กไม่ใช่สำหรับโรคธาลัสซีเมียซึ่งมีธาตุเหล็กเกินอยู่แล้วสำหรับเครื่องดื่มประเภทน้ำชาอาจจะช่วยลดการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารได้
ถาม : การที่มีเหล็กในร่างกายมาก แต่สามารถขับออกได้น้อย จะทำให้มีผลเสียต่อร่างกายของผู้ป่วยอย่างไรบ้าง?
ตอบ :
เหล็กที่ไม่สามารถขับออกได้นั้นก็จะไปสะสมอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ เช่น ที่ตับ หัวใจ ตับอ่อน ใต้ผิวหนัง เมื่อสะสมไปนาน ๆ จะมีผลไปทำลายอวัยวะนั้น ๆ ทำให้การทำงานบกพร่อง เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ขึ้น เช่น ภาวะเยื่อบุหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เบาหวาน หรือเป็น ตับแข็ง เป็นต้น
ถาม : ผู้ป่วยอายุ 12 ปีให้เลือด 2 เดือนต่อครั้ง ควรให้ยาขับเหล็กในประมาณเท่าใดจึงจะ
เหมาะสม?
ตอบ :
ภาวะเหล็กเกินในผู้ป่วยธาลัสซีเมียนั้น นอกจากเกิดจากการรับเลือดแล้วยังเกิดจากการดูดซึมเหล็กมากกว่าปกติจากทางอาหาร การประเมินว่าผู้ป่วยควรได้รับยาขับเหล็กในปริมาณเท่าใด ต่อการให้แต่ละครั้ง และสัปดาห์ละกี่ครั้งนั้น ต้องดูจากน้ำหนักของผู้ป่วยร่วมกับการตรวจเลือดหาปริมาณฟอไรติน (ferritin) ซึ่งจะบอกถึงปริมาณของเหล็กที่สะสมอยู่ในร่างกายของผู้ป่วย แพทย์ที่ดูแลรักษาจะสามารถให้คำแนะนำในการใช้ยาขับเหล็กอย่างเหมาะสมได้
ถาม : หลังจากใช้ยาขับเหล็กในตอนกลางคืน ตอนเช้าปัสสาวะจะมีสีส้มเข้มมาก คล้ายมีตะกอน และปัสสาวะมีกลิ่นคาว (ลูกสาวอายุ 6 ปี)?
ตอบ :
การที่มีปัสสาวะสีเข้มนั้นเป็นผลจากการที่ยาขับเหล็กดึงเหล็กให้ขับออกทางปัสสาวะมากขึ้น ซึ่งเป็นกลไกการทำงานของยาขับเหล็ก ปัสสาวะเข้มมากแสดงว่ามีเหล็กขับออกมามาก
ถาม : เด็กที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย จะต้องให้เลือดตลอดชีวิตหรือไม่?
ตอบ :
ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย มีความรุนแรงต่าง ๆ กัน ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคซึ่งมีอยู่หลายชนิด บางชนิดอาการน้อย ซีดเพียงเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องให้เลือดเลยแต่อาจมีบางครั้งคราว ส่วนรายที่มีอาการปานกลางแพทย์จะพิจารณาให้เลือดถ้าซีดลง เด็กธาลัสซีเมียบางรายซีดมากเมื่ออายุปีแรก ๆ เพราะอาจมีปัญหาทางโภชนาการร่วมด้วย เมื่อโตขึ้นอาการดีขึ้นอัตรการให้เลือดจึงลดลงแต่ผู้ป่วยบางรายโดยเฉพาะพวกธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงหรือมีสุขภาพอนามัยไม่ดีมีอาการติดเชื้อบ่อย ๆ อาจซีดมากและซีดบ่อยทำให้ต้องให้เลือดบ่อย ๆ
ถาม : ทำไมเมื่อให้เลือดบ่อย ๆ ร่างกายจึงเปลี่ยนไป เช่น ดำ - คล้ำขึ้น?
ตอบ :
การให้เลือดเป็นระยะ ๆ ตลอดไป เมื่อให้เลือดมากครั้งร่างกายจะมีผิวดำคล้ำส่วนหนึ่งเป็นผลจากการทีมีธาตุเหล็กมาก ธาตุเหล็กเหล่านี้ได้มาจากเลือดที่ให้ ฉะนั้นในรายที่มีธาตุเหล็กเกินมากแพทย์จะพิจารณาแนะนำให้ยาขับธาตุเหล็กออก ผู้ป่วยธาลัสซีเมียไม่ควรกินอาหารหรือยาที่มีธาตุเหล็กมาก เพราะจะมีการสะสมเหล็กมากขึ้น (เช่น เลือดหมู, เลือดไก่, ตับ) แต่ควรกินอาหารครอบทุกหมู่รวมทั้งโปรตีน ได้แก่ ไข่, นม, หมู, เป็นอาหารที่ควรรับประทาน
ถาม : หลังการให้เลือดแล้วรู้สึกปวดเมื่อยแขนขา และบางครั้งให้เลือดไปได้เดือนกว่าจะรู้สึกปวดศรีษะควรจะรักษา-แก้ไขอย่างไร?
ตอบ :
ปฏิกริยาการให้เลือดมีปลายอย่างเช่น มีไข้ ปวดศีรษะความด้นเลือดสูง ปฏิกริยาที่รุนแรง ได้แก่ หนาวสั่น ปัสสาวะสีเข้ม-แดง ปวดศีรษะมาก อาเจียน ซึมลง ชัก ถ้ามีอาการผิดปกติเหล่านี้ซึ่งอาจเกิดขึ้นในระหว่างการให้เลือดหรือหลังจาการให้เลือดเสร็จแล้วก็ตาม ต้องแจ้งแพทย์หรือไปหาแพทย์ทันที อย่างไรก็ตามแพทย์จะให้ยาช่วยป้องกันภาวะ "แพ้เลือด" อยู่แล้วก่อนการให้เลือดซึ่งพบว่าการเกิดปฏิกริยาดังกล่าวลดลง
ถาม : อยากทราบว่าเป็นโรคนี้เมื่ออายุครบ 20 ปี จะต้องเป็นทหารหรือไม่ต้องเป็นทหาร?และถ้าเรียนรักษาดินแดงจะเป็นอันตรายหรือไม่?
ตอบ :
ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียสมควรได้รับการยกเว้นเข้ารับราชการทหารเกณฑ์ และไม่จำเป็นต้องเรียนหลักสูตรรักษาดินแดง
ถาม : อาการที่มีเลือดออกตามไรฟันเป็นก้อนเกี่ยวกับอาการของโรคนี้หรือเปล่า
?
ตอบ :
เลือดออกตามไรฟันของคนไข้โรคธาลัสซีเมียนั้นเป็นผลของโรคเหงือกอักเสบเรื้อรังและโรคฟันผุ
ถาม : ทำไมจมูกแบน และโหนกแก้มสูง
?
ตอบ :
ผู้ป่วยธาลัสซีเมียมีเม็ดเลือดแดงแตกง่ายมีผลทำให้โลหิตจาง ไขกระดูกจึงขยายตัวเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้นทำให้มีลักษณะกระดูกใบหน้าเปลี่ยนไปนอกจากนี้กระดูกแขนขาจะบางเปราะด้วย
ถาม : การออกกำลังกายของผู้ป่วย ควรทำได้แค่ไหน
?
ตอบ :
ผู้ป่วยจะอกกำลังกายได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นกับภาวะซีดในผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ซีดไม่มากสามารถออกกำลังกายได้พอ ๆ กับเด็กปกติ แต่ผู้ป่วยที่ซีดค่อนข้างมากบางรายต้องรับเลือดสม่ำเสมอมักไม่สามารถออกกำลังกายเหมือนเด็กปกติ เพราะผู้ป่วยมักมีอาการเหนื่อย หอบ ใจสั่น เนื่องจากหัวใจต้องทำงานมากกว่าปกติ
ถาม : ถ้ากินยาเม็ดเหลืองโฟลิคติดต่อกันนาน ๆ จะมีผลเสีย เช่น กระดูกผุ ได้หรือไม่?
ตอบ :
ยาเม็ดเหลืองโฟลิคแอซิค (Folic acid) ที่แพทย์แนะนำให้ผู้ป่วยธาลัสซีเมีย (เฉพาะผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียเท่านั้น ไม่รวมถึงผู้เป็นพาหะของโรค) รับประทานเป็นประจำนั้น เป็นการรักษาเพื่อไปทดแทนปริมาณของโฟลิคแอซิค ที่ลดต่ำลงในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย เนื่องจากร่างกายผู้ป่วยธาลัสซีเมียมีการสร้างเม็ดเลือดแดงมาก จึงต้องการใช้โฟลิคแอซิค ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นด้วย เท่าที่มีการศึกษากันมายังไม่พบหลักฐานว่าการกินยาโฟลิคเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคหรือมีผลเสียข้างเคียง เช่น กระดูกผุ
ถาม : อยากทราบว่าผู้ป่วยโรคนี้ทำไมจึงมีอาการปวดศีรษะเป็นประจำ 2-3 วันต่อ 1 ครั้ง ครั้งละประมาณ 4-5 วัน?
ตอบ :
อาการมึนงงและอ่อนเพลียเกิดจากปริมาณเลือดในร่างกายน้อยลง จนถึงขั้นอันตรายต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น สมอง, หัวใจ. ไต และปอด เป็นต้น
อาการปวดศีรษะก็มีผลจากปริมาณเลือดที่ลดน้อยลง หรือมีความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง หรือสภาวะวิตกกังวลต่ออการของโรคะธาลัสซีเมียเอง หรือสาเหตุอื่น ๆ