About us l Thalassemia l Diagnosis l Treatment l PND l Questions l Thalassemia Club lConference l Links l News l HOME

ปัญหาน่ารู้เกี่ยวกับโรคธาลัสซีเมีย:

ถาม : แพทย์แนะนำให้มากรุงเทพฯ เพื่อมาตัดม้าม เมื่อไรควรจะตัดดี?

ตอบ :

  1. ธาลัสซีเมียที่มีอาการรุนแรง เคยให้เลือดนาน ๆ ครั้ง แล้วค่อย ๆ ถี่ขึ้น เช่น จากเดิมทุก 3 เดือน เป็นทุก 2 เดือน ทุกเดือน ทุก 2 สัปดาห์ แพทย์จะตรวจเลือดดูว่าเม็ดเลือดแดงผิดปกติจากสาเหตุอื่นด้วยหรือไม่ หรือถ้าหาสาเหตุไม่ได้ และคิดว่าม้ามเป็นตัวทำลายเม็ดเลือดหมดก็น่าจะตัดม้าม
  2. ถ้าม้ามโตมาก (ต่ำกว่าระดับสะดือไปมาก ๆ) และเกรงว่าอาจจะตกจาการกระทบกระแทกก็สมควรจะตัดม้าม
  3. พวกที่เป็นธาลัสซีเมีย ฮีโมโกลบินเอ๊ช บางรายอาการรุนแรงต้องให้เลือดบ่อย ๆ และม้ามโตมากหน่อยอาจพิจารณาตัดม้าม ซึ่งพวกนี้อาการจะดีมากภายหลังตัดม้าม พวกเบต้า/อี หลายรายได้ผลดีพอควร แต่ไม่ดีเท่าพวกเอ๊ช
    ผู้ป่วยธาลัสซีเมีย โดยทั่วไปแพทย์จะไม่แนะนำให้ตัดม้ามโดยไม่จำเป็นเพราะ
  1. ถ้าไม่จำเป็นการผ่าตัดจะมีอาการแทรกซ้อนตามมาได้
  2. นอกจากพวกที่เป็นฮีโมโกลบินเอ๊ช ที่มีอาการรุนแรง และพวกเบต้า/อี บางรายแล้ว ธาลัสซีเมียทั่วไปหลังตัดม้ามไปนาน ๆ พบว่า ตับมักจะโตขึ้นกว่าเดิมเหล็กในร่างกายจะสะสมมากขึ้น เและเจ็บป่วยบ่อยขึ้น
  3. หลังจากตัดม้ามแล้ว ต้องมียาแก้อักเสบสำรองไว้ตลอดเวลา เพราะถ้ามีไข้ หรืออักเสบจะมีอาการรุนแรงได้เราแนะนำว่าแม้แต่เวลาไปค่ายลูกเสือ-เนตรนารี ผู้ที่เป็นธาลัสซีเมีย และตัดม้ามแล้ว ก็ต้องมียาลดไข้ และยาแก้อักเสบสำรองไว้ใกล้ตัวตลอดเวลา

ถาม : ลูกชายอายุ 5 ขวบ เป็นโรคธาลัสซีเมีย ควรได้รับยาขับเหล็กหรือไม่?

ตอบ :

  1. โรคธาลัสซีเมียมีหลายชนิด บางชนิดมีระดับเหล็กปกติ หรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อย จึงไม่จำเป็นต้องให้ยาขับเหล็กทุกราย
  2. ถึงแม้ว่าผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียบางรายมีธาตุเหล็กมาก
แต่แพทย์ก็ไม่ได้แนะนำให้ยาขับเหล็กทุกรายการฉีดยาหนึ่งเข็ม ไม่ได้ขับธาตุเหล็กออกมามากมายโดยเฉลี่ยวันที่ได้ยาฉีดจะขับเหล็กออกมาในปัสสาวะได้ประมาณ 5-14เท่า ของวันที่ไม่ได้ฉีดยา การจะขับเหล็กให้ได้ผลต้องฉีดยาทุกวัน มิใช่ว่าให้เลือกครั้งหนึ่งจึงจะให้ยาครั้งหนึ่ง จะไม่ได้ผลและเสียยาด้วย วันหนึ่ง ๆ จึงต้องคาเข็มฉีดยาไว้กับตัวผู้ป่วย 10 ชั่วโมง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะทนไม่ได้และยาก็ราคาแพงมาก แพทย์จึงเลือกให้ในผู้ป่วยบางรายดังนี้
  1. ไม่กลัวเข็มฉีดยา
  2. ผู้ป่วยต้องโตพอสมควรที่จะเข้าใจว่า การฉีดยานี้ประโยชน์ (มิใช่บังคับให้ฉีดเพราะจะเป็นผลเสียแก่จิตใจได้)
  3. ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับยาขับเหล็ก ควรจะทดลองให้ยานี้อย่างน้อยสัปดาห์ละประมาณ 3-4 วันถ้าให้แล้วทำให้ผู้ป่วยสบายขึ้น การเจ็บป่วย ไข้ ท้องเดิน อักเสบต่าง ๆ ลดน้อยลงกว่าตอนที่ไม่ฉีดยา และจำนวนครั้งของการให้เลือดน้อยลง กรณีเช่นนี้จึงแนะนำให้ฉีดยาขับเหล็กต่อได้ ถ้าให้ไปแล้วอาการทุกอย่างยังไม่ดีขึ้นก็ควรจะหยุดยาเพราะเป็นการเจ็บตัวและแพงไปเปล่า ๆ

ถาม : ทำไมผู้ป่วยธาลัสซีเมียจึงมีธาตุเหล็กมากทั้ง ๆ ที่เป็นโรคเลือดจาง ควรรับประทานอาหารประเภทใดและงดอาหารประเภทใดบ้าง?

ตอบ :

ผู้ป่วยโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียมีธาตุเหล็กในร่างกายมากกว่าคนปกติ เพราะแม้ว่าธาตุเหล็กจะถูกขับอกจากรางกายได้เท่าเทียมคนปกติ แต่เนื่องจากเม็ดเลือดแดงในร่างกายของผู้ที่เป็นโรคนี้อายุสั้น แตกง่าย ในเม็ดเลือดแดงมีธาตุเหล็กอยู่ จึงปลดปล่อยตกค้างภายในร่างกายนอกจากนั้นภาวะซีดทำให้ลำใส้ดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารเพิ่มมากกว่าปกติ และยิ่งมีการให้เลือดด้วยเมื่อเม็ดเลือดแดงที่ได้รับเสื่อมตายไปในร่างกาย เหล็กจากเม็ดเลือดแดงเหล่านั้นก็จะตกค้างสะสมอยู่ในร่างกายเพิ่มขึ้น ผู้ป่วยโรคนี้ควรรักษาสุขภาพอนามัยให้ดี เพราะถ้าเจ็บป่วยไม่สบายบ่อย ๆ จะทำให้ยิ่งซีดลงกว่าเดิม ทำให้รับเลือดบ่อยขึ้น เหล็กสะสมก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น เป็นผลเสียต่ออวัยวะต่าง ๆ ตามไปด้วย คนที่เป็นโรคธาลัสซีเมียเมื่อเม็ดเลือดแดงแตกเร็ว ร่างกายก็จะพยายามสร้างเม็ดเลือดแดงใหม่ขึ้นมาแทน สร้างมากและสร้างเร็วกว่าคนปกติหลายเท่าฉะนั้นควรรับประทานอาหารที่มีคุณภาพ มีโปรตีนสูง เช่น เนื้อสัตว์ต่าง ๆ ไข่ นม และอาหารที่มีวิตามินที่เรียกว่า "โฟลิค" อยู่มาก ได้แก่ผักต่าง ๆ ผักสดสารอาหารเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ในการสร้างเม็ดเลือดแดงได้ อาหารทีควรละเว้นคือ อาหารที่มีธาตุเหล็กสูงเป็นพิเศษ เช่น เลือดเป็ด เลือดไก่ และไม่ควรซื้อยาบำรุงเลือดกินเอง เพราะอาจเป็นยาที่ธาตุเหล็กซึ่งใช้สำหรับรักษาคนที่ซีดจากการขาดธาตุเหล็กไม่ใช่สำหรับโรคธาลัสซีเมียซึ่งมีธาตุเหล็กเกินอยู่แล้วสำหรับเครื่องดื่มประเภทน้ำชาอาจจะช่วยลดการดูดซึมธาตุเหล็กจากอาหารได้

ถาม : การที่มีเหล็กในร่างกายมาก แต่สามารถขับออกได้น้อย จะทำให้มีผลเสียต่อร่างกายของผู้ป่วยอย่างไรบ้าง?

ตอบ :

เหล็กที่ไม่สามารถขับออกได้นั้นก็จะไปสะสมอยู่ในอวัยวะต่าง ๆ เช่น ที่ตับ หัวใจ ตับอ่อน ใต้ผิวหนัง เมื่อสะสมไปนาน ๆ จะมีผลไปทำลายอวัยวะนั้น ๆ ทำให้การทำงานบกพร่อง เกิดภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ขึ้น เช่น ภาวะเยื่อบุหัวใจและกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เบาหวาน หรือเป็น ตับแข็ง เป็นต้น

ถาม : ผู้ป่วยอายุ 12 ปีให้เลือด 2 เดือนต่อครั้ง ควรให้ยาขับเหล็กในประมาณเท่าใดจึงจะ เหมาะสม?

ตอบ :

ภาวะเหล็กเกินในผู้ป่วยธาลัสซีเมียนั้น นอกจากเกิดจากการรับเลือดแล้วยังเกิดจากการดูดซึมเหล็กมากกว่าปกติจากทางอาหาร การประเมินว่าผู้ป่วยควรได้รับยาขับเหล็กในปริมาณเท่าใด ต่อการให้แต่ละครั้ง และสัปดาห์ละกี่ครั้งนั้น ต้องดูจากน้ำหนักของผู้ป่วยร่วมกับการตรวจเลือดหาปริมาณฟอไรติน (ferritin) ซึ่งจะบอกถึงปริมาณของเหล็กที่สะสมอยู่ในร่างกายของผู้ป่วย แพทย์ที่ดูแลรักษาจะสามารถให้คำแนะนำในการใช้ยาขับเหล็กอย่างเหมาะสมได้

ถาม : หลังจากใช้ยาขับเหล็กในตอนกลางคืน ตอนเช้าปัสสาวะจะมีสีส้มเข้มมาก คล้ายมีตะกอน และปัสสาวะมีกลิ่นคาว (ลูกสาวอายุ 6 ปี)?

ตอบ :

การที่มีปัสสาวะสีเข้มนั้นเป็นผลจากการที่ยาขับเหล็กดึงเหล็กให้ขับออกทางปัสสาวะมากขึ้น ซึ่งเป็นกลไกการทำงานของยาขับเหล็ก ปัสสาวะเข้มมากแสดงว่ามีเหล็กขับออกมามาก

ถาม : เด็กที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย จะต้องให้เลือดตลอดชีวิตหรือไม่?

ตอบ :

ผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมีย มีความรุนแรงต่าง ๆ กัน ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคซึ่งมีอยู่หลายชนิด บางชนิดอาการน้อย ซีดเพียงเล็กน้อยไม่จำเป็นต้องให้เลือดเลยแต่อาจมีบางครั้งคราว ส่วนรายที่มีอาการปานกลางแพทย์จะพิจารณาให้เลือดถ้าซีดลง เด็กธาลัสซีเมียบางรายซีดมากเมื่ออายุปีแรก ๆ เพราะอาจมีปัญหาทางโภชนาการร่วมด้วย เมื่อโตขึ้นอาการดีขึ้นอัตรการให้เลือดจึงลดลงแต่ผู้ป่วยบางรายโดยเฉพาะพวกธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงหรือมีสุขภาพอนามัยไม่ดีมีอาการติดเชื้อบ่อย ๆ อาจซีดมากและซีดบ่อยทำให้ต้องให้เลือดบ่อย ๆ

ถาม : ทำไมเมื่อให้เลือดบ่อย ๆ ร่างกายจึงเปลี่ยนไป เช่น ดำ - คล้ำขึ้น?

ตอบ :

การให้เลือดเป็นระยะ ๆ ตลอดไป เมื่อให้เลือดมากครั้งร่างกายจะมีผิวดำคล้ำส่วนหนึ่งเป็นผลจากการทีมีธาตุเหล็กมาก ธาตุเหล็กเหล่านี้ได้มาจากเลือดที่ให้ ฉะนั้นในรายที่มีธาตุเหล็กเกินมากแพทย์จะพิจารณาแนะนำให้ยาขับธาตุเหล็กออก ผู้ป่วยธาลัสซีเมียไม่ควรกินอาหารหรือยาที่มีธาตุเหล็กมาก เพราะจะมีการสะสมเหล็กมากขึ้น (เช่น เลือดหมู, เลือดไก่, ตับ) แต่ควรกินอาหารครอบทุกหมู่รวมทั้งโปรตีน ได้แก่ ไข่, นม, หมู, เป็นอาหารที่ควรรับประทาน

ถาม : หลังการให้เลือดแล้วรู้สึกปวดเมื่อยแขนขา และบางครั้งให้เลือดไปได้เดือนกว่าจะรู้สึกปวดศรีษะควรจะรักษา-แก้ไขอย่างไร?

ตอบ :

ปฏิกริยาการให้เลือดมีปลายอย่างเช่น มีไข้ ปวดศีรษะความด้นเลือดสูง ปฏิกริยาที่รุนแรง ได้แก่ หนาวสั่น ปัสสาวะสีเข้ม-แดง ปวดศีรษะมาก อาเจียน ซึมลง ชัก ถ้ามีอาการผิดปกติเหล่านี้ซึ่งอาจเกิดขึ้นในระหว่างการให้เลือดหรือหลังจาการให้เลือดเสร็จแล้วก็ตาม ต้องแจ้งแพทย์หรือไปหาแพทย์ทันที อย่างไรก็ตามแพทย์จะให้ยาช่วยป้องกันภาวะ "แพ้เลือด" อยู่แล้วก่อนการให้เลือดซึ่งพบว่าการเกิดปฏิกริยาดังกล่าวลดลง

ถาม : อยากทราบว่าเป็นโรคนี้เมื่ออายุครบ 20 ปี จะต้องเป็นทหารหรือไม่ต้องเป็นทหาร?และถ้าเรียนรักษาดินแดงจะเป็นอันตรายหรือไม่?

ตอบ :

ผู้ที่เป็นโรคโลหิตจางธาลัสซีเมียสมควรได้รับการยกเว้นเข้ารับราชการทหารเกณฑ์ และไม่จำเป็นต้องเรียนหลักสูตรรักษาดินแดง

ถาม : อาการที่มีเลือดออกตามไรฟันเป็นก้อนเกี่ยวกับอาการของโรคนี้หรือเปล่า ?

ตอบ :

เลือดออกตามไรฟันของคนไข้โรคธาลัสซีเมียนั้นเป็นผลของโรคเหงือกอักเสบเรื้อรังและโรคฟันผุ

ถาม : ทำไมจมูกแบน และโหนกแก้มสูง ?

ตอบ :

ผู้ป่วยธาลัสซีเมียมีเม็ดเลือดแดงแตกง่ายมีผลทำให้โลหิตจาง ไขกระดูกจึงขยายตัวเพื่อสร้างเม็ดเลือดแดงมากขึ้นทำให้มีลักษณะกระดูกใบหน้าเปลี่ยนไปนอกจากนี้กระดูกแขนขาจะบางเปราะด้วย

ถาม : การออกกำลังกายของผู้ป่วย ควรทำได้แค่ไหน ?

ตอบ :

ผู้ป่วยจะอกกำลังกายได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นกับภาวะซีดในผู้ป่วย ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรง ซีดไม่มากสามารถออกกำลังกายได้พอ ๆ กับเด็กปกติ แต่ผู้ป่วยที่ซีดค่อนข้างมากบางรายต้องรับเลือดสม่ำเสมอมักไม่สามารถออกกำลังกายเหมือนเด็กปกติ เพราะผู้ป่วยมักมีอาการเหนื่อย หอบ ใจสั่น เนื่องจากหัวใจต้องทำงานมากกว่าปกติ

ถาม : ถ้ากินยาเม็ดเหลืองโฟลิคติดต่อกันนาน ๆ จะมีผลเสีย เช่น กระดูกผุ ได้หรือไม่?

ตอบ :

ยาเม็ดเหลืองโฟลิคแอซิค (Folic acid) ที่แพทย์แนะนำให้ผู้ป่วยธาลัสซีเมีย (เฉพาะผู้ที่เป็นโรคธาลัสซีเมียเท่านั้น ไม่รวมถึงผู้เป็นพาหะของโรค) รับประทานเป็นประจำนั้น เป็นการรักษาเพื่อไปทดแทนปริมาณของโฟลิคแอซิค ที่ลดต่ำลงในผู้ป่วยธาลัสซีเมีย เนื่องจากร่างกายผู้ป่วยธาลัสซีเมียมีการสร้างเม็ดเลือดแดงมาก จึงต้องการใช้โฟลิคแอซิค ซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในการสร้างเม็ดเลือดแดงเพิ่มขึ้นด้วย เท่าที่มีการศึกษากันมายังไม่พบหลักฐานว่าการกินยาโฟลิคเป็นประจำจะทำให้เกิดโรคหรือมีผลเสียข้างเคียง เช่น กระดูกผุ

ถาม : อยากทราบว่าผู้ป่วยโรคนี้ทำไมจึงมีอาการปวดศีรษะเป็นประจำ 2-3 วันต่อ 1 ครั้ง ครั้งละประมาณ 4-5 วัน?

ตอบ :

อาการมึนงงและอ่อนเพลียเกิดจากปริมาณเลือดในร่างกายน้อยลง จนถึงขั้นอันตรายต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย เช่น สมอง, หัวใจ. ไต และปอด เป็นต้น อาการปวดศีรษะก็มีผลจากปริมาณเลือดที่ลดน้อยลง หรือมีความผิดปกติของหลอดเลือดในสมอง หรือสภาวะวิตกกังวลต่ออการของโรคะธาลัสซีเมียเอง หรือสาเหตุอื่น ๆ
 /Home/Thalassemia/Laboratory/Treatment/PND/Questions/Conference/Thal. club/Links/