ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับเครื่องดื่ม

เครื่องดื่มแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ

    1. เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสม (Non-Alcoholic or Soft Drink)
    2. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ (Alcoholic or Hard Drink

       -----เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์(Non-AlcoholicorSoftDrink)-----

Non-Alcoholic or Soft Drink คือ เครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ เช่น น้ำอัดลม น้ำส้ม น้ำมะนาว และเครื่องดื่มอื่น ๆ ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ แบ่งเป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 9 ชนิด ดังนี้

    1. น้ำผลไม้สด (Fresh Fruit Juice) เป็นเครื่องดื่มที่ได้จากการนำผลไม้ที่สุกมาคั้นเอาน้ำ มาดื่ม และน้ำผลไม้สดยังสามารถนำไปทำเครื่องดื่มผสมได้อีกด้วย
    2. น้ำผลไม้กระป๋อง (Can Fruit Juice) ในบางฤดูกาลผลไม้สดหายากมาก จึงใช้น้ำผลไม้กระป๋องแทน ถึงแม้คุณค่าทางอาหารจะน้อยกว่า แต่ก็จำเป็นต้องมีไว้ ซึ่งสามารถเก็บได้นาน โดยคุณภาพไม่เปลี่ยนเป็นการนำน้ำผลไม้สดมาปรุงแต่งสี กลิ่น หรือรสชาติ แล้วบรรจุในกระป๋อง ผ่านการซ่าเชื้อด้วยความร้อนสูง จึงเก็บไว้ได้นานกว่าน้ำผลไม้สด แต่รสชาติและคุณค่าทางอาหารอาจด้อยกว่าผลไม้สดบ้าง น้ำผลไม้กระป๋องที่นิยมได้แก่ น้ำองุ่น น้ำมะเขือเทศ น้ำแอปเปิ้ล น้ำเสาวรส
    3. น้ำผลไม้เข้มข้น (Fruit Squash) เป็นเครื่องดื่มที่ทำจากน้ำผลไม้และมีการเติมน้ำตาหรือน้ำเชื่อมให้มีความเข้มข้นมากขึ้น เช่น น้ำมะนาวเข้มข้น น้ำส้มเข้มข้น ส่วนใหญ่จะบรรจุขวด นิยมดื่มโดยผสมกับน้ำ หรือโซดาให้เจือจาง อาจนำไปทำเครื่องดื่มผสมพวกพั๊นช์ หรือค๊อกเทล
    4. น้ำอัดแก๊ส (Aerated Water or Artificial Water) หมายถึง เครื่องดื่มที่อัดด้วยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์เพื่อให้เกิดความซ่า และอาจปรุงแต่งสี กลิ่น รสชาติ ของผลไม้ ใบไม้ เมล็ดผลไม้ รากไม้ รากยาบางชนิดลงไป ในภัตตาคารอาจบริการในลักษณะที่เป็นขวด หรือแก้วอาจเสิร์ฟเปล่า ๆ โดยการแช่เย็น หรือใส่น้ำแข็ง หรือนำไปผสมกับเหล้าต่าง ๆ น้ำอัดแก๊สที่นิยม ได้แก่ น้ำโซดา (Soda Water) น้ำโทนิก (Tonic) น้ำอัดลมชนิดต่าง ๆ เช่น Pepsi ,Cola ,Sprite Green Sport ,Fanta รสต่าง ๆ เป็นต้น
    5. น้ำแร่ (Natural Mineral Water) เป็นเครื่องดื่มที่มีเกลือแร่ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายผสมอยู่ นิยมดื่มแทนน้ำธรรมดาโดยเสิร์ฟแช่เย็น หรือใช้ผสมสุราบางชนิด เครื่องดื่มชนิดนี้ที่มีจำหน่าย เช่น เพอริเออร์ (Perrier) ,Vichy , Aola______
    6. น้ำดื่ม (Table Water) เป็นน้ำที่มีแร่ธาตุน้อย ได้จากการกรองแล้วบรรจุขวด เช่น น้ำสิงห์ น้ำโพลาริส หรือกรองจากเครื่องกรองของภัตตาคารเอง เป็นน้ำที่เสิร์ฟตลอดมื้อของอาหาร โดยแช่เย็นหรือใส่น้ำแข็ง
    7. น้ำเชื่อม (Simple Syrup) หมายถึงน้ำเชื่อมที่ได้จากการนำน้ำตาลทรายละลายน้ำ ส่วนใหญ่ใช้ผสมเครื่องดื่มให้มีรสหวาน แต่ละภัตตาคารมักจะจัดทำขึ้นมาเองให้มีความเข้มข้นตามต้องการ แล้วผสมเครื่องดื่มก่อนเสิร์ฟ หรือนำไปให้ลูกค้าผสมเองตามความชอบของแต่ละคน เครื่องดื่มที่มีการใช้น้ำเชื่อมผสม เช่น น้ำมะนาว ชาดำเย็น ซึ่งเสิร์ฟใส่น้ำแข็ง นอกจากนี้ยังมีการนำน้ำเชื่อมไปใช้เป็นส่วนผสมสำคัญในการทำค๊อกเทลหลายชนิด
    8. น้ำเชื่อมผลไม้ (Fruit Syrup) หมายถึง น้ำเชื่อมที่มีการปรุงแต่งสี กลิ่น รสชาติ จากผลไม้ที่ได้จากการสังเคราะห์ลงไปด้วย เช่น น้ำเชื่อมที่มีรสส้ม น้ำเชื่อมที่มีรสมะนาว ส่วนใหญ่บรรจุขวดจำหน่าย
    9. เครื่องดื่มอื่น ๆ นอกจากที่กล่าวแล้ว ได้แก่
    1. กาแฟ (Coffee) เป็นเครื่องดื่มที่นิยมกันมาก อาจเสิร์ฟได้ทั้งร้อนและเย็น หรือดื่มแต่กาแฟอย่างเดียว (Black Coffee) ใส่ทั้งน้ำตาลและนม หรือครีม หากดื่มเย็น ก็ผสมน้ำแข็ง การเสิร์ฟอาจทำได้ 2 วิธี คือ
    2. -ผสมเสร็จแล้วนำไปเสิร์ฟ ซึ่งอาจไม่ถูกกับรสนิยมของแขกเนื่องจากชอบความหวานต่างกัน

      -แบบที่นำน้ำตาล หรือน้ำเชื่อม และครีม หรือนม แยกต่างหากให้แขกผสมเอง

    3. ชา (Tea) นิยมดื่มผสมน้ำตาลอย่างเดียว ผสมน้ำตาลกับครีมหรือนม เสิร์ฟขณะร้อน หรือเสิร์ฟเย็นโดยใส่น้ำแข็ง อาจบีบมะนาวด้วย นิยมเสิร์ฟทั้งแบบที่ผสมเสร็จแล้วเสิร์ฟ และแยกน้ำตาลหรือน้ำเชื่อมและครีมหรือนมไปให้แขกผสมเองเช่นเดียวกับการเสิร์ฟกาแฟ
    4. โอวัลติน (Ovaltin) นิยมดื่มผสมกับน้ำตาลและนม เสิร์ฟทั้งร้อนและเย็น เช่นเดียวกับกาแฟ

    -----เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสม (Alcoholic Drink or Hard Drink)-----

Alcoholic Drink or Hard Drink คือ เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ผสมอยู่ด้วย เครื่องดื่มในประเภทนี้แบ่งได้เป็น 7 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่

    1. Aperitif
    2. Spirit
    3. Dessert Wine
    4. Liqueur
    5. Wine / Champagne
    6. Beer
    7. Cocktail

Aperitif

Aperitif คือ เครื่องดื่มที่ใช้ดื่มก่อนอาหาร เครื่องดื่มชนิดนี้เป็นเครื่องดื่มเรียกน้ำย่อย สามารถแยกย่อยออกไปได้อีก เป็น 3 ชนิด คือ

  1. Vermouth
  2. Bitter
  3. Anices
  1. Vermouth
  2. ผลิตจากเหล้าองุ่นขาวชนิดที่มีดีกรี และน้ำตาลในเหล้าสูง แล้วใช้เหล้าองุ่นหวาน 70 % หรือเหล้าไวน์ขาวชนิดที่แช่ราก Absinthe ซึ่งเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่งมีรสขม และ Nutmeg(แก่นจันทร์) Quinine และ Fenouil ลงไป แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ

    1. Dry Vermouth มีสีขาว ออกไปทางเหลืองเป็นเหล้าค่อนข้างใส รสหอม ออกไปทางเปรี้ยว ๆ และฝาดนิด ๆ
    2. Sweet Vermouth มีสีแดงออกไปทางน้ำตาลรสเปรี้ยว กระเดียดทางหวานข้นกว่า

เหล้า Vermouth ที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ได้แก่

เหล้าที่มาจากประเทศ Italy ได้แก่

เหล้าที่มาจาก France คือ

เหล้าที่มาจากประเทศ Switzerland คือ

จากที่กล่าวมานี้ที่โรงแรมมีเพียงบางประเภทเท่านั้น คือ

    เหล้า Cinzano ที่มีชื่อเสียงมาจากเมือง Turino จัดว่าเป็นเหล้า Vermouth ที่ขายได้ดีมากทั่วโลกตั้งแต่เริ่มกิจการมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 1835 นอกเหนือไปกว่านั้น Cinzano มีส่วนของสมุนไพร (Hobs) ต่าง ๆ มากกว่า 30 ชนิดขึ้นไป ส่วน Noully Part นั้นทำมาจากเมือง Marseilies และ France เหล้า Vermouth ของ Italy จะเก็บไว้นานถึง 3 – 4 ปีขึ้นไปจึงจะนำออกจำหน่าย ส่วน Vermouth ของ France เก็บไว้ได้นานอย่างน้อยที่สุดตั้งแต่ 2 ปี เท่านั้นจึงจะนำออกจำหน่าย จำพวก Vermouth นี้คอเหล้าในยุโรปนิยมดื่มแพร่หลายและนิยมดื่มกันมาก โดยเฉพาะสุภาพสตรีมักจะนิยมดื่มแบบ On the Rock คือรินใส่แก้วและน้ำแข็งลงไป 3 – 4 ก้อน หรือบางทีก็บีบมะนาวลงไปเพิ่มรสชาดในการดื่มขึ้นอีก

ประโยชน์ของเหล้า Vermouth

    1. ใช้ดื่มก่อนอาหาร
    2. ใช้ผสม Cocktail
    3. การเสิร์ฟ Vermouth ต้องเสิร์ฟแช่เย็น (หมายถึงเอาเหล้าชนิดนี้แช่ในตู้เย็น) เป็นเครื่องดื่มที่สดชื่นให้กำลัง
  1. Bitter
  2. เป็นเหล้ายาแบบเดียวกับ Vermouth แต่ใส่รากไม้ผสมไปด้วย เช่น Alpessters ซึ่งเป็นต้นไม้ในตระกูล Hobs หรือสมุนไร ซึ่งชอบอยู่ตามเมือกเขาของประเทศ Switzerland และยังผสมพวกเปลือก Quinine ผิวส้มข้น ผิวมะนาวลงไปด้วยทำให้มีรสชาดแตกต่างกันไป

    1. Angostura Bitter ใช้สำหรับปรุงรสเหล้า Cocktail Cake และอาหารบางชนิดได้กลิ่นคล้าย ๆ กฤษณากลั่น ใช้เพิ่มรสเหล้า บำรุงธาตุและใช้แก้ปวดท้องได้ดี โดยผสม Bitter สัก 10 หยดลงในน้ำร้อนครึ่งด้วยแก้ว หรือบรั่นดี 1 Jigger หรือ 1 Oz. จะช่วยย่อยอาหารและทำให้หายท้องเฟ้อได้
    2. Orange Bitter มีประโยชน์เช่นเดียวกับ Angostura Bitter มีกลิ่นหอม เพราะผสมพวกผิวส้มและผักชนิดมีก้านมีรสเปรี้ยว (โกฏน้ำเต้า หรือ Rhubarb) เข้าไปรวมทั้ง Cascara Sagrada ทำให้แก้อาการวิงเวียนศีรษะ สิงสวาย ดื่มแล้วบำรุงหัวใจและทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่าขึ้น ส่วนมากใช้ในการปรุง Cocktail และผสมอาหารหวานบางอย่างได้
    3. Lemon Bitter ผสมกับพวกผิวมะนาว จึงทำให้มีรสกระเดียดไปทางมะนาว และหอมซ่า ประโยชน์ทำให้สดชื่น บำรุงร่างกายและบำรุงอวัยวะเกี่ยวกับคือ บำรุงธาตุทั้ง 4 ให้ทำงานตามปกติ แก้เหน็ดเหนื่อยและคอแห้ง รวมทั้งใช้ปรุง Cocktail และอาหารหวานต่าง ๆ ได้

    นอกจากนี้ยังมี Aperitif จำพวก

    - Dubonnet ซึ่งเป็นเหล้ายาสำหรับบำรุงธาตุและฟอกโลหิตทำให้เจริญอาหาร และร่างกายสมบูรณ์เหมาะแก่สุภาพสตรีและผู้ที่มีร่างกายผอมแห้ง ผลิตจากประเทศฝรั่งเศส ความแรงของเหล้า 18 ดีกรี

    - Fernet Branca เป็นเหล้าสำหรับบำรุงธาตุ แก้อาการเป็นลมขึ้นได้ รสหอมหวานและซ่าขึ้นจมูก ใช้ประโยชน์ในการทำ Flembe หรืออาหารต่าง ๆ ได้ดี เหมาะแก่การดับกลิ่นคาวของปลาและกุ้งได้เป็นอย่างดี เพิ่มความโอชะในอาหารเพราะใส่ไม้ Fennel ลงไปผสม (ไม้คล้ายยี่หร่า) จึงทำให้มีรสเหมือนยี่หร่าของไทยมาก เหล้าชนิดนี้มีสีเหลืองใส มาจากประเทศ Italy มีดีกรีของเหล้าอยู่ 45 ดีกรี

    - Campari Bitter เป็นเหล้ายาที่เหมาะแก่การบำรุงธาตุแก้อาการท้องเฟ้อ เหม็นเปรี้ยว อาหารไม่ย่อย ช่วยให้กระเพาะและลำไส้ทำงานได้ดี ใช้ผสม Cocktail ได้หลายอย่าง เหล้าชนิดนี้มีสีแดงจัด ดีกรีของเหล้าประเภท Bitter นี้ ประมาณ 16 – 45 ดีกรี ใช้ดื่มเพรียว ๆ ตามด้วยน้ำเย็น หรือจะผสมโซดาหรือน้ำอัดลมอย่างอื่นด้วยก็ได้ จากประเทศ Italy 28 ดีกรี

  3. Anices

Anices ผลิตจากการกลั่นของ Anices (ดอกจันทร์) เป็นเหล้ายาอีกชนิดหนึ่งใช้รับประทานแก้อาการท้องเฟ้อและช่วยย่อยอาหารได้ดี เป็นเหล้าสีเหลืองใส กลิ่นหอมฉุน และเป้นที่น่าสังเกตได้ว่า เหล้าจำพวก Ricard ,Pernod ,fernet Branca หรือพวก Anices ก็ดี ส่วนมากมักดื่มกับน้ำเย็นหรือโซดา ถ้าผสมกับน้ำแล้วจะมีสีเหลืองคล้ายน้ำซาวข้าวสีเหลืองข้น ใช้เสิร์ฟก่อนอาหาร โดยผสมกับน้ำเย็นเป็นสองเท่าของเหล้าหรือ 1:2 โดยประมาณ มีแอลกอฮอล์ประมาณ 40 – 45 ดีกรี

Anices ที่นิยมดื่มกันมากที่สุด คือ

- Pernod

- Ricard

- Berger

- Patis

ส่วนใหญ่ในบ้านเรานั้น Pernod และ Ricard นั้นเป็นที่รู้จักกันแพร่หลาย ทั้งที่ห้อง Lab ของมหาวิทยาลัย และที่โรงแรมเคปพันวาด้วย ตามสถานที่จำหน่ายเครื่องดื่มชนิดที่มีแอลกอฮอล์ ได้ดีนอกเหนือไปจากการดื่มแล้ว เหล้าจำพวกนี้ยังใช้ทำ Flembe ประเภทกุ้งหรือปลา และผสม Cocktail ได้อีกด้วย

- Spirit

เหล้า Spirit นั้นเป็นเหล้าในประเภทของ Digestive หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าเป็นเหล้าที่ใช้ดื่มหลังอาหาร จะนิยมดื่มหลังอาหาร เพราะจะช่วยในการย่อยอาหารและเหล้าประเภทนี้มีเปอร์เซ็นต์ของแอลกอฮอล์สูง และมีรสค่อนข้างหวาน

    1. Brandy or Cognac
    2. Whisky
    3. Gin
    4. Rum
    5. Vodka
    6. Eaux-De-Vie

 

  1. Brandy หรือ Cognac เป็นผลผลิตของประเทศฝรั่งเศส ผลิตในอาณาเขต Charente เท่านั้นจึงมีใบรับรอง “I accguit jaune dor” ติดตราขวดเหล้าจึงได้ชื่อว่า Cognac

 

Dessert Wine

เหล้าประเภทนี้ เป็นเหล้าองุ่นที่ผลิตจากประเทศแถบตอนใต้ เช่น สเปน โปรตุเกส อิตาลี กรีก ฮังการี และทางตอนใต้ของฝรั่งเศส เหล้าองุ่นประเภทนี้ แบ่งตามความนิยมที่ใช้มีดังต่อไปนี้

  1. Port
  2. Sherry
  3. Madere
  4. Malaga
  5. Marsala
  6. Anises
    1. Port Wine เป็นเหล้าองุ่นที่ผลิตจากประเทศ Spain ,Portugal ,France ,Greece ทำจากเมือง Oporto ในประเทศสเปน มีชื่อเสียงมากเป็นเหล้าองุ่นที่เพิ่มน้ำตาลจากองุ่น (eau-de-vie-de-vin)(Water of Life) เหล้าชนิดนี้ต้องเก็บไว้อย่างน้อยที่สุด 2 ปีจึงจะนำส่งออกจำหน่ายได้มีดีกรี 20 - 22 ดีกรี เรียกกันว่า Port นิยมดื่มกันมากในยุโรป ประเทศอังกฤษ เป็นประเทศผู้เริ่มผลิตเหล้าองุ่นชนิดนี้ขึ้นโดยไปเริ่มทำไร่ในประเทศโปรตุเกสในศตวรรษที่ 16 เพราะฉะนั้น ประเทศอังกฤษจึงเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่ดื่มเหล้า Port มากที่สุด คำว่า Port Wine นี้ได้มาจากเมือง Oporto ริมแม่น้ำ ทางใต้ในประเทศโปรตุเกส ซึ่งทำมาจากองุ่นนานาชนิดที่ปลูกในแถบหุบเขา Dourc นอกเหนือจากการดื่มแล้วยังใช้ในการประกอบอาหารต่าง ๆ ได้อีก เช่น ใส่ในซุปต่าง ๆ เป็นต้น และยังใช้ในการทำ Cocktail เช่นพวก Flib ได้อีก

เหล้า Port ที่มีชื่อเสียง มีดังรายการต่อไปนี้

ประโยชน์ของเหล้า Port

    1. ใช้ประโยชน์ในการประกอบอาหาร
    2. ใช้ดื่มเป็นเหล้าก่อนอาหาร
    3. ใช้ผสมทำ Cocktail

Sherry เป็นเหล้าที่เก็บไว้นาน 10 - 15 ปี กลิ่นหอมทำจากเมือง Andralusia ในประเทศ Spain มีดีกรีแอลกอฮอล์อยู่ที่ 20 - 22 เหล้าองุ่นชนิดนี้มาจากอาณาเขตที่มีชื่อว่า Jerez de la Forntera ซึ่งอยู่ในเขตเมือง Anda Lusia เหล้า Sherry นี้ผลิตแบบเดียวกับเหล้า Port แค่เพิ่ม Eau-de-vie-de-vin ตอนเกิด Fermentation แล้ว เพราะน้ำตาลจะกลายเป็นแอลกอฮอล์ไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นเครื่องดื่มชนิดนี้จึงมีลักษณะ Dry กว่า Port อย่างน้อยต้องเก็บไว้ประมาณ 5 ปี ยิ่งเก็บไว้นาน 10 - 15 ปี จะทำให้เหล้ามีคุณภาพดีมีกลิ่นหอมมาก (Perfume)

เหล้า Sherry ที่มีชื่อเสียงได้แก่

Liqueur

เป็นเหล้าที่ผลิตจากแอลกอฮอล์ (ชนิดดื่มได้) โดยวิธีการแช่พวกต้นไม้ ผลไม้ต่าง ๆ เมล็ดผลไม้ herbs ใบไม้ หรือรากไม้ เช่น Caraway Seed ,Oil of Orange ,Oil of Lemon ,Coriander หรือ AngeLica Root เป็นต้น ลงในน้ำตาลหรือแอลกอฮอล์ ประเทศที่ผลิตเหล้า Liqueur จำพวกนี้ ได้แก่ ผรั่งเศส และเนเธอแลนด์ อิตาลี เยอรมัน ประเทศในแถบสแกนดิเนเวีย

เหล้าหวานประเภทนี้ทำจากการรวมของเหล้าซึ่งโดยมากใช้ Brandy กับเครื่องปรุงแต่งรสชาดดังกล่าว และเติม Sugar Syrup ตั้งแต่ 2 ? % โดยปริมาตร เพื่อเพิ่มความหวาน

Liqueur ที่มีผลิตกัน อาจแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ

    1. Fruit Liqueur เป็นเหล้าหวานที่ได้จากการนำบรั่นดีมาเติมกลิ่นจากผลไม้ต่าง ๆ เช่น Peach ,Apricot ,Cherry โดยแช่ไว้ 6 - 8 เดือนแล้วปรับให้มีความหวานมากขึ้นโดยเติมน้ำตาล หรือน้ำเชื่อม มีแอลกอฮอล์อย่างต่ำ 70proof
    2. Plant Liqueur ต่างจาก Fruit Liqueur ที่ใช้พืชและรากไม้ชนิดต่าง ๆ แทนผลไม้ แล้วมีการต้ม หรือกลั่นและเติมสีสังเคราะห์ด้วย

Liqueur แบ่งออกได้เป็นประเภทใหญ่ ๆ ได้ 3 ประเภท คือ

    1. Liqueur Extra-Fine
    2. Liqueur Fine
    3. Liqueur Courantre

 

Liqueur Extra-Fine มีดีกรี 35 – 45 เป็นผลผลิตจากประเทศฝรั่งเศส

1. Benedictine หรือ D.O.M. เป็นเหล้ารสหอมหวานใช้ประโชน์ในหารดื่มหลังอาหารและย่อยอาหารได้ดี เช่น Cake ,Steak หรือใส่ลงไปในผลไม้ต่าง ๆ รวมทั้งใช้ผสมเหล้า Cocktail

เหล้าชนิดนี้พระเป็นผู้คิดค้น D.O.M. หมายถึง Deo Option Maximo หรือแปลว่า แด่พระผู้เป็นจ้าหรือผู้ประเสริฐและผู้ยิ่งใหญ่ที่สุด

  1. Grand Manier รสหอมหวาน ใช้ประโยชน์เช่นเดียวกับ D.O.M.
  2. Cointreau รสหอมหวานซ่าและกระเดียดไปทางเปรี้ยว เพราะเข้ากับพวกผิวส้มอยู่มาก ใช้ประโยชน์เช่นเดียวกับ Grand Manier
  3. Chartreuse เป็นเหล้าที่ดื่มหลังอาหาร เป็นเหล้าโชว์ (Display) หรือผสม Cocktail เช่น Rain bow เป็นต้น มีทั้งสีเหลือง เขียว ขจาว กลั่นจากไม้หอมชนิดหนึ่ง นอกจากนั้นยังมีพวก Wielle Cure ,Cordial Medoc ,Marie Brizard ,Izzard Varte ,Izzara Jaune

 

Liqueur Fine มีดีกรี 25 – 35 ดีกรี

Switzerland

Holland

France

Germany

Algeria

Scotland

Italy

Yugoslavia

Denmark

 

Liqueur Courante หรือ Everyday Liqueur มีดีกรีอยู่ที่ 20 – 25 เป็นผลิตผลจากประเทศฝรั่งเศสและฮอลแลนด์ ได้แก่

เหล้า Marc ที่มีชื่อเสียง ได้แก่

  1. Bourgogne ประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้ผลิต
  2. Arvois ประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้ผลิต
  3. Valaais ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นผู้ผลิต
  4. Neuchatel ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นผู้ผลิต
  5. Maienfeld ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เป็นผู้ผลิต

ประโยชน์ของเหล้า Liqueur

  1. ใช้ผสม Cocktail
  2. ประกอบอาหารประเภทของหวาน เช่น เค้ก Flembe ไอศกรีม ทำซอสสำหรับพุดดิ้ง
  3. เสิร์ฟหลังอาหาร

เบียร์ (Beer)

ได้กล่าวกันว่าเบียร์ได้ทำและรู้จักกันมานานแล้วใน Babylon แต่บางท่านได้กล่าวว่าเบียร์ได้ทำจาก Malt Grain ใน Mesopotamia ราว 6000 B.C. ในอียิปต์ การทำเบียร์เริ่มหลังจากบาบิโลน แต่บางทีการวิวัฒนาการนั้นดีกว่า และได้มีการเรียนการทำเบียร์ต่อ ๆ กันไปในยุโรป อเมริกา และจนกระทั่งเบียร์เป็นเครื่องดื่มซึ่งทุกคนรู้จัก

เบียร์เป็นเครื่องดื่มที่มีดีกรีของแอลกอฮอล์ผสมอยู่ประมาณ 3.5 ใช้ดื่มเพื่อดับกระหาย โดยเฉพาะในฤดูร้อน เบียร์แบ่งออกเป็น 3 ชนิด คือ

    1. Ale เบียร์ที่มีรสอ่อน รสชาดปานกลาง
    2. Stout เบียร์ที่มีรสรุนแรงที่สุด นิยมดื่มมากในประเทศอังกฤษ มีสีน้ำตาลเข้มออกดำ
    3. Lager เสิร์ฟในขณะเย็น

    ประวัติความเป็นมาของเหล้า

สุรา น้ำโสม น้ำจันทร์หรือเหล้า มีมาตั้งแต่โบราณกาลนับตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ มนุษย์เราได้เรียนรู้มาจากสัตว์ในป่าโดยบังเอิญ คือในสมัยนั้นมีป่าใหญ่แห่งหนึ่งมีต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาปกคลุมไปทั่ว และบริเวณนั้นก็ร่มเย็นทำให้สัตว์ป่าต่าง ๆ มักจะใช้ร่มไม้เป็นที่ชุมนุมกันอยู่เสมอ สัตว์พวกนี้ นอกเหนือไปจากพวกนกต่าง ๆ แล้วก็ยังมีสัตว์จำพวกที่กินพืชและผลไม้เป็นอาหาร เช่น ลิง กวาง ชะนี ค่าง ช้าง หมี ฯลฯ ต่างก็พากันใช้เป็นที่พักผ่อนและหาอาหารกิน เนื่องจากบริเวณนี้มีผลไม้ต่าง ๆ นา ๆ ชนิด เช่น กล้วย ลูกหว้า มะปราง มะม่วงป่า เป็นต้น บรรดาสัตว์ที่ซุกซนและชอบแหย่สัตว์ จำพวกต่าง ๆ ก็คือ ลิงซึ่งชอบปลิดลูกไม้ขว้างปากันเองหรือสัตว์ป่าอื่น ๆ เสมอจนกระทั่งผลไม้ต่าง ๆ เกลื่อนโคนต้นไม้และตามคาคบ นอกจากนั้นบางทีนกก็คาบผลไม้ไปกินและทิ้งเมล็ดไว้ตกเกลื่อนกลาด ผลไม้ที่แก่งอมคาต้นบางกิ่งก็ตกหล่นมาเองค้างอยู่ตามาดคนของต้นไม้ดังกล่าวแล้วหล่นอยู่ ครั้นเวลาได้ลุล่วงไปหลายวัน ผลไม้ซึ่งถูกหมักขึ้นโดยธรรมชาติ เนื่องจากน้ำตาลในผลไม้เปลี่ยนเป็นแอลกอฮอล์ส่งกลิ่นไปทั่วบริเวณนั้น และเกิดกลายเป็นเหล้าขึ้นเอง บรรดาสัตว์ต่าง ๆ เช่น ลิง นก ฯลฯ ได้กลิ่นหอมก็ต่างพากันมากินเหล้าธรรมชาติที่คาคบไม้และเกิดอาการเมามายขึ้นและเหตุนี้เองก็คือที่มาของ “เหล้า” ซึ่งโดยวิธีนี้เองทำให้มนุษย์เราได้มีข้อสังเกตและได้มีการทำเหล้าขึ้นโดยวิธีการง่าย ๆ นี้เอง

สุราได้มีการปรับปรุงและวิวัฒนาการกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันนี้มีหลายร้อยหลายพันชนิดซึ่งทุกประเทศก็ได้ทำการผลิตขึ้นในประเทศของตนเองขายกันเป็นล่ำเป็นสัน รวมทั้งการส่งขายเป็นสินค้าออกที่ทำกำไรและรายได้ให้แก่ประเทศผู้ผลิตปีละจำนวนมหาศาล

ในเมืองไทยเรา ปัจจุบันนี้สุราบางยี่ห้อ ได้รับความนิยมจากต่างประเทศไม้น้อยเหมือนกันเฉพาะขายเองในเมืองไทยเรา บางครั้งก็กลั่นผลิตออกมาแทบไม่ทันกับความต้องการของท้องตลาด ประเทศต่าง ๆ ที่ผลิตสุราที่มีชื่อเสียงในปัจจุบันนี้ คือ สก๊อตแลนด์ ฝรั่งเศส สหรัฐอเมริกา อิตาลี แคนาดา และฮอลแลนด์

 

ประโยชน์ของสุรา

    1. ให้พลังงานแก่ร่างกาย คือ 1 กรัมของแอลกอฮอล์จะให้พลังงาน 7 แคลลอรี่ แต่มีข้อเสียที่ว่าพลังงานที่ได้รับจากแอลกอฮอล์นี้ร่ายกายไม่สามารถเก็บสำรองไว้ได้จึงเผาผลาญให้หมดสิ้น
    2. ช่วยเจริญอาหาร โดยเหตุที่ทำให้หลิดเลือดของกระเพาะและลำไส้ขยายตัวและช่วยทำให้การย่อยอาหารดีขึ้น
    3. กระตุ้นหัวใจให้สูบฉีดเร็วขึ้น การไหลเวียนของเลือดดีขึ้นเมื่อดื่มแอลกอฮอล์เป็นครั้งคราวในขนาดที่ไม่มากนัก
    4. ช่วยให้หลอดเลือดเพียงเส้นเดียวที่ไปเลี้ยงหัวใจขยายตัว ทำให้รูกว้าง หัวใจได้รับเลือดหล่อเลี้ยงมากขึ้น และมีส่วนช่วยมิให้หลอดเลือดโคโรนาย์ตีบได้ง่าย
    5. ช่วยให้ปัสสาวะมากขึ้นจากการดื่มน้ำเข้าไปมาก แอลกอฮอล์ช่วยกระตุ้นให้ทำงานได้ดีเหมือนการล้างท่อโสโครกให้สะอาดขึ้น
    6. ช่วยให้ร่างกายอบอุ่น โดยที่หลอดเลือดที่บริเวณผิวหนังขยายตัว จึงทำให้ร้อยผ่าวตามบริเวณผิวหนัง
    7. ใช้ดื่มก่อนหรือหลังอาหาร
    8. ใช้ดื่มเป็นเหล้าพร้อมของหวาน
    9. ใช้ดื่มเป็นเหล้าให้กำลังคนไข้
    10. ใช้เป็นเหล้าดองยาได้
    11. ใช้ทาดับพิษอาการคันตามผิวหนังและฆ่าเชื้อโรคบางชนิดได้
    12. ใช้ปรุงอาหาร

 

 

ข้อเสียของสุรา

    1. เป็นสิ่งเสพติด เพราะถ้าดื่มเข้าไปมาก ๆ ร่างกายจะไม่สามารถสลายกากของแอลกอฮอล์ให้หมดสิ้นได้ (กากของแอลกอฮอล์ คือ แอเซทแอลดีฮัยต์)
    2. เป็นพิษต่อกระเพาะอาหารและลำไส้เนื่องจากระคายเคืองที่แอลกอฮอล์มีต่อเยื่อบุของกระเพาะอาหารและลำไส้อยู่บ่อย ๆ เป็นเวลานาน ๆ จะทำให้เกิดแผลในกระเพาะ และลำไส้ได้ง่าย
    3. พิษจากแรงดันเลือดสูง เนื่องจากการที่หัวใจบีบตัวแรง และการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น ถ้าความดันโลหิตสูงขึ้นมาก หรือผู้สูงอายุที่มีความเสื่อมของผนังหลอดเลือด ก็จะเป็นเหตุให้หลอดเลือดแตกได้ง่าย เช่น หลอดเลือดในสมอง ลำไส้ นัยน์ตา
    4. โรคพิษสุราเรื้อรัง ตับและไตพิการได้
    5. ดื่มน้ำมากทำให้ขาดสติสัมปชัญญะ หมดความควบคุมตนเอง เสียบุคลิกภาพ ขาดความรับผิดชอบตนเอง
    6. ทำให้เกิดหนี้สินได้ ฯลฯ

 

แก้วเหล้า

แก้วเหล้าที่ผลิตจากต่างโรงงานกัน ก็จะมีสัดส่วนของรูปทรงรวมทั้งสิ่งตกแต่งแตกต่างกันไปบ้าง แต่โดยทั่วไปแล้วจะยังคงยึดหลักใหญ่อันเดียวกัน การผลิตแก้วนั้นได้มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานยิ่ง ๆ ขึ้นมาโดยตลอด โดยเฉพาะถ้วยแก้วที่ใช้ใส่ไวน์และค็อกเทล แก้วไวน์นิยมใช้แก้วก้าน วัตถุประสงค์ที่ใช้ก็เพื่อให้ผู้ดื่มไวน์จับแก้วตรงก้านแก้ว เพื่อมิให้ความร้อนจากมือไปสัมผัสตัวถ้วยที่ใส่ไวน์ เพราะไวน์นั้นส่วนมากแล้วนิยมเสิร์ฟเย็นจัด ส่วนวัสดุที่ทำแก้วควรเป็นแก้วที่โปร่งใสเป็นประกาย ทั้งนี้เพื่อช่วยให้ไวน์ในแก้วมองดูชวนดื่ม ซ้ำจะช่วยเพิ่มความกระหายใคร่ดื่มยิ่งขึ้น ส่วนรูปทรงนั้นมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ช่วยเก็บรักษากลิ่นขณะดื่มว่าจะให้ได้กลิ่นมากน้อยเพียงใด ตัวอย่างเช่น แก้วทรงทิวลิป เมื่อจรดแก้วที่ปาก กลิ่นจะฟุ้งเข้าจมูกได้ดีกว่ารูปทรงอื่น ๆ รูปทรงนอกจากจะช่วยเก็บกลิ่นแล้วยังช่วยเก็บฟองแก๊สให้คงทนอยู่ได้นานและช่วยเก็บรักษาความเย็นของไวน์ด้วย

แก้วบรั่นดีหรือที่เรียกว่า บรั่นดีสนิฟเตอร์ (Brandy Snifter) นั้นก้านจะสั้น ส่วนตัวแก้วจะกลมป้อม ปากแคบ เหตุผลที่นิยมใช้รูปร่างเช่นนี้เพราะไม่ต้องการให้ผู้ดื่มถือแก้วที่ก้าน แต่ต้องการให้จับตัวแก้วเพื่อให้ความร้อนจากมือระบายไปสู่บรั่นดีในแก้วนั้น เมื่อบรั่นดีอุ่นขึ้นกลิ่นก็จะระเหยออกมามากยิ่งขึ้น ปากแก้วที่แคบจะช่วยเก็บกักกลิ่นที่ระเหยขึ้นมาให้คงอบอวลอยู่ภายในแก้ว เพิ่มความหอมหวลชวนดื่มได้ดีกว่าแก้วทรงอื่น ๆ

แก้วค็อกเทลนั้นสามารถใช้รูปร่างต่าง ๆ กันได้อย่างกว้างขวาง เพียงแต่แนะนำว่า ควรใช้แก้วที่ใสเป็นประกาย เนื้อแก้วดีเยี่ยมและบาง แต่มียกเว้นอยู่บ้าง เช่น ค็อกเทลบางอย่างก็นิยมเสิร์ฟในแก้วทรงเตี้ยที่ค่อนข้างหนา เช่น On the Rock และ Old-Fashioned แต่อย่างไรก็ตามแก้วเหล้าที่นิยมใช้อยู่ในปัจจุบันนี้พอจะแบ่งออกได้เป็น 5 ประเภทด้วยกัน คือ

    1. แก้วทรงกระบอก เป็นแก้วที่ไม่มีก้านหรือเชิง รูปร่างเหมือนกระบอก ข้างแก้วอาจจะตรงผายออก คุ้มเข้า หรือคอดก็ได้ มีขนาดและความสูงต่าง ๆ กัน แก้วกลุ่มนี้เรียกว่า ทัมเบลอ (Tumbler) มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน แต่ละขนาดจะมีชื่อเรียกเฉพาะต่างกัน โดยที่โรงแรมเคปพันวามีตัวอย่างดังต่อไปนี้

 

    1. แก้วก้าน (Stemmed Glass) แก้วประเภทนี้นอกจากจะมีส่วนตัวแก้วที่ใช้ใส่เหล้าแล้ว ยังมีก้านยาวเหมือนดอกไม้ สุดก้านก็จะมีเชิงเป็นแผ่นกลมนูนเล็กน้อย เพื่อให้ตั้งได้มีรูปร่างหลายแบบด้วยกันเพื่อให้ถูกกับวัตถุประสงค์ของการใช้ แต่ละรูปร่างก็กำหนดไว้เพื่อใช้สำหรับเหล้าแต่ละชนิดไป ไวน์ส่วนมากนิยมเสิร์ฟในแก้วก้าน ซึ่งมีรูปร่างต่าง ๆ ดังนี้

 

    1. แก้วเชิง มีลักษณะคล้าย ๆ กับแก้วก้านเพียงแต่ก้านนั้นสั้นเพราะส่วนก้านมีความประสงค์เพียงเพื่อเป็นตัวเชื่อม ส่วนตัวแก้วกับเชิงที่ตั้งเพื่อความสวยงามของแก้วเท่านั้น มิได้ทำไว้เพื่อให้จับหรือถือแก้วตรงส่วนนั้น เหล้าผสมหรือค็อกเทลส่วนใหญ่นิยมเสิร์ฟในแก้วเชิงนี้ พอ ๆ กับเสิร์ฟในแก้วก้านมีตัวอย่างดังนี้ คือ

3. เหยือกเบียร์ Mug รูปร่างคล้ายกับแก้วก้านทรงกระบอก ส่วนใหญ่จะหนาและมีหูคล้ายถ้วยกาแฟ มีความจุได้ประมาณ 10 – 16 Oz.

    1. แก้วแฟนซี หมายถึงแก้ว หรือเหยือกที่ทำรูปร่างแตกต่างจากแก้วที่กล่าวถึงแล้ว เพื่อใช้เฉพาะแห่งอาจทำจากแก้ว หรือเครื่องเคลือบดินเผา ที่โรงแรมเคปพันวาใช้แก้วชนิดเครื่องเคลือบดินเผา เรียกว่า Tiki ใช้เสิร์ฟค็อกเทลประเภทผลไม้ Mix Fruit Juice นอกจากนี้ยังสามารถเสิร์ฟค็อกเทลบางอย่างในผลของผลไม้ เช่น สับปะรด มะพร้าว และแตงโม เป็นต้น

บาร์ (Bar)

คำนี้เป็นคำที่ได้มาจากทวีปอเมริกาเหนือ (ซึ่งในพจนานุกรม หมายถึง รั้ว ราว คอก กั้น เครื่องกีดขวาง ฯลฯ) แต่สำหรับด้านธุรกิจบริการเกี่ยวกับเครื่องดื่ม หมายถึงสถานที่จำหน่ายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และปราศจากแอลกอฮอล์ บาร์แบ่งออกได้เป็นหลายประเภท ดังนี้

    1. American Bar สถานที่เป็นบาร์เล็ก ๆ มีม้านั่งและเคาน์เตอร์สำหรับลูกค้ามานั่งดื่มหน้าบาร์ได้ ส่วนผนังด้านหลังของบาร์มักจะเป็นที่โชว์เหล้าชนิดต่าง ๆ หรือพวกแก้วที่ใช้ในบาร์ เป็นต้น
    2. Expresso Bar เป็นบาร์ที่มีมากในแถบยุโรปแถว ๆ ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน โดยเฉพาะในประเทศอิตาลีส่วนมากตั้งเป็นบาร์มีเคาน์เตอร์ และมีเครื่องทำ Expresso (กาแฟผงใช้เครื่องชงแต่รสจัด) รวมทั้งผลไม้ ไอศกรีม และเครื่องดื่มต่าง ๆ และเหล้าก่อนอาหารต่าง ๆ จำหน่าย เป็นต้น
    3. Dancing Bar เป็นสถานที่ที่มีฟลอร์สำหรับใช้เต้นรำและเปิดไฟสลัว ๆ มีวงดนตรีเล็ก ๆ บรรเลง ซึ่งบาร์ในประเภทนี้เมืองเรามีมากและจัดเข้าอันดับ Dancing Bar มีการขายเหล้า เครื่องดื่ม บุหรี่ บางแห่งมีอาหารเบา ๆ ขายด้วย เช่น Sandwich
    4. Milk Bar เป็นบาร์ที่ตั้งขึ้นสำหรับขายอาหารเบา ๆ เช่น Sandwich ,Hot Dog ไอศครีมและน้ำผลไม้ต่าง ๆ จำหน่ายพวกเครื่องดื่ม เช่น น้ำชา หรือกาแฟ เป็นต้น

นอกเหนือไปจากนี้ก็มีบาร์คล้าย ๆ กันได้ถูกเรียกชื่อแตกต่างกันออกไปและบางอย่างก็ขายเสียทุกอย่างก็ขายเสียทุกอย่างทั้งอาหารและเครื่องดื่มพร้อม ๆ กัน และมีชื่อเรียกกันหลายอย่าง คือCoffee Shop ,Caf? Teria ,Restaurant ,Snack Bar

 

เครื่องมือเครื่องใช้ในบาร์

    1. Making Glass For Stirring แก้วสำหรับคนเครื่องดื่ม
    2. Bar Spoon ช้อนสำหรับใช้ในบาร์
    3. Muddler ไม้สำหรับตอกน้ำแข็ง
    4. Cocktail Shaker Mixing Container กระบอกเช็ค
    5. Electric Blender เครื่องปั่น
    6. Ice Bucket ถังน้ำแข็ง
    7. Ice Thong คีมคีบน้ำแข็ง
    8. Ice Scoop ที่ตักน้ำแข็ง
    9. Jiggerที่ตวงเหล้า
    10. Cutting Boardเขียง
    11. Juice Squeezerที่คั้นน้ำผลไม้
    12. Bottle Openที่เปิดขวด
    13. Cocktail Pick (Stick)ที่เสียบผลไม้ประดับค็อกเทล
    14. Swizzle Stick (Stir) ไม้คนยาว
    15. Strawหลอดดูด
    16. Coasterกระดาษรองแก้ว
    17. Bar Knifeมีดบาร์
    18. Cock Screwที่เปิดขวดไวน์
    19. Can Opener ที่เปิดกระป๋อง
    20. Wine Bucketถังไวน์
    21. Water Pitcherเหยือกน้ำ
    22. Cork จุกไม้ค๊อกสำหรับปิดขวดเหล้า
    23. Salt Shakerขวดใส่เกลือ
    24. Pepper Shakerขวดใส่พริกไทย
    25. Nutmeg Shakerขวดใส่ผงแก่นจันทร์ป่น
    26. Sugar Bowlโถใส่น้ำตาล
    27. Broom ไม้กวาด
    28. Dustbinถังขยะ
    29. Grinderหินลับมีด
    30. Sponge with Handleฟองน้ำมีด้ามสำหรับล้างแก้ว
    31. Gabage Bagถุงดำ
    32. Refigiratorตู้เย็น
    33. Wine Cabinetตู้แช่ไวน์
    34. Ashtrayที่เขี่ยบุหรี่

 

ผลไม้และผักที่ใช้ตกแต่งค็อกเทล

 

ผลไม้และผักที่ใช้ในการประดับค๊อกเทล ควรใช้สด ๆ และล้างให้สะอาด มีดที่ใช้ควรจะเป็นมีดคม ๆ ชนิดไม่เป็นสนิมหั่นหรือปอกผลไม้ ไม่ควรเอาผลไม้ที่สุกงอมและไส้เน่ามาใช้ ผลไม้และผักจะแช่ในตู้เย็นหรือในน้ำแข็ง เพราะจะทำให้ดูสดอยู่เสมอ

    1. Slice Orangeส้มเขียวหวานฝาน
    2. Slice Lemonมะนาวพันธุ์ฝรั่งฝาน
    3. Slice Limeมะนาวพันธุ์ไทยฝาน
    4. Twist Limeผิวมะนาว
    5. Slice Pineappleสับปะรดฝาน
    6. Water Melonแตงโม
    7. Papayaมะละกอ
    8. Bananaกล้วยหอม
    9. Grapeองุ่น
    10. Tomatoมะเขือเทศ
    11. Mandarin Orange Sliceส้มเช้ง
    12. Cocktail Red Cherryลูกเชอร์รี่
    13. Apple Sliceแอปเปิ้ลฝาน
    14. Slice Cucamberแตงกวาฝาน
    15. Oliveผลมะกอก
    16. Cocktail Onionหอมดอง
    17. Celeryใบคื่นฉ่าย
    18. Mint Leafใบสะระแหน่
    19. Orchidดอกกล้วยไม้

 

 

เครื่องผสมค็อกเทล

    1. Orange Juice น้ำส้มคั้น
    2. Pineapple Juiceน้ำสับปะรด
    3. Tomato Juiceน้ำมะเขือเทศ
    4. Grape Fruit Juiceน้ำส้มซ่า
    5. Mango Juiceน้ำมะม่วง
    6. Guava Juiceน้ำฝรั่ง
    7. Le & Perrine Sauceซอสเปรี้ยว
    8. (Worcester Shire Sauce)

    9. Angostura Bitterเหล้าบิตเตอร์
    10. Tabasco (Pepper Sauce)ซอสพริก
    11. Wipping Creamวิปปิ้งครีม
    12. Sugar Syrupน้ำเชื่อม
    13. Grenadine Syrupน้ำทับทิม
    14. White of Eggไข่ขาว
    15. Yolk Eggไข่แดง
    16. Fresh Milkนมสด
    17. Heavy Creamนมครีม
    18. Coconut Milkน้ำกะมิ
    19. Cinamondผงอบเชย

Coke , Sprite ,Tonic ,Ginger Ale ,Water ,Soda Water ,ect.

การเก็บรักษาเครื่องมือและเครื่องใช้ในบาร์

 

เครื่องมือเครื่องใช้ในบาร์ เราจำเป็นจะต้องรักษาให้สะอาดและจำเป็นอย่างมากที่จะต้องเอาใจใส่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสะอาดของเครื่องมือต่าง ๆ เช่น มีดหรือที่เปิดขวด หรือจุกเหล้าต่าง ๆ นอกจากนั้นยังเกิดสนิมขึ้นง่าย ๆ อีกด้วย เครื่องมือเครื่องใช้ในบาร์นั้น บางอย่างล้างด้วยน้ำสะอาดแล้วก็เช็ดด้วยผ้าให้แห้งและสะอาด พยายามเก็บไว้ให้เป็นที่ จะได้รู้ว่าอยู่ตรงไหนและเลือกที่ไว้ให้ง่ายต่อการหยิบฉวย จำพวก Shaker หรือทีเขย่าเหล้าเมื่อใช้เสร็จ จะต้องรีบล้างให้สะอาดทุกครั้ง แล้วใส่ในตู้เย็น หรือวางไว้ยังที่ที่กำหนดไว้ จะได้สะดวกเมื่อจะผสมเหล้าสูตรต่าง ๆ อย่าวางทิ้งไว้โดยที่ไม่ได้ล้าง แล้วผสมเหล้าชนิดใหม่ลงไปทันที เพราะจะเสียรสของเหล้าชนิดนั้น ๆ เนื่องจากสูตรเหล้าไม่เหมือนกัน ดังนั้นเราจึงควรแบ่งการทำความสะอาดดังนี้

  1. พื้นถูให้สะอาด กวาดให้เรียบร้อย อย่าให้มีเศษผลไม้หรือขี้ผงเหลืออยู่ พยายามอย่าให้พื้นเปียก ต้องให้พื้นแห้งอยู่เสมอ
  2. อ่างล้างแก้ว ถูขัดให้สะอาดอยู่ทุกวัน อย่าให้มีเศษผลไม้หรือเมล็ดผลไม้ตกอยู่ เพราะอาจทำให้ท่อระบายน้ำตันได้
  3. ตู้แช่เย็นและถังน้ำแข็ง ควรถูและเช็ดให้สะอาดแวววาวเสมอทั้งด้านในตู้เย็นและด้านนอกของตู้เย็น
  4. ถาดใส่แก้ว จะต้องล้างให้สะอาด และเช็ดให้แห้งหลังจากปิดบาร์แล้ว
  5. แก้วต่าง ๆ เมื่อนำออกมาจากในครัวแล้ว ควรตรวจดูให้สะอาดและเช็ดด้วยผ้าแห้งอย่าให้มีรอยคราบน้ำหรือลิปสติกหรือคราบของความสกปรกหลงเหลืออยู่ ถ้าหากพบว่าแก้วสกปรก ให้นำกลับไปไว้ในครัว เพื่อล้างซ้ำอีกครั้ง
  6. ขวดเปล่าหรือลังเปล่า จะต้องเก็บใส่ภาชนะให้เป็นระเบียบ ขวดน้ำอัดลมก็นำใส่ลังของน้ำอัดลม ชนิดไหนก็ใส่ชนิดนั้น
  7. ชั้นวางของและหิ้ง ถูและเช็ดให้สะอาด และพยายามวางของให้เป็นระเบียบ อย่าให้มีคราบสกปรกติดอยู่ และควรปิดให้มิดชิดทุกครั้ง เพื่อกันแมลงสาป จิ้งจกหรือหนูเข้าไปอาศัยอยู่
  8. ขวดเหล้า ควรทำความสะอาดให้มาก เช็ดด้วยน้ำมาก ๆ อย่าให้มีฝุ่นจับ เหล้าที่ใช้อยู่ในขวด แต่ยังไม่หมดขวดควรปิดให้สนิท เพราะอาจมีตัวมด หรือแมลงเข้ไปกินเหล้าได้ เช่นจำพวกเหล้า Vermouth ต่าง ๆ
  9. พวกเครื่องผสมและน้ำผลไม้กระป๋อง เช่น น้ำสับปะรดกระป๋อง หรือน้ำมะเขือเทศ ถ้าใช้ไม่หมดกระป๋อง อย่าปล่อยทิ้งค้างคืนไว้ในตู้เย็น ควรถ่ายลงในแก้วสะอาดและเปิดจุกไว้เพราะถ้าทิ้งไว้ในกระป๋องดีบุกและความชื้นของอากาศจะทำให้ผลไม้นั้น ๆ เกิดการเสียได้ และทำให้เป็นพิษแก่ร่างกาย หากดื่มเข้าไป

 

หมายเหตุ ความสะอาดจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับบาร์ต่าง ๆ โดยเฉพาะจะทำให้แขกรู้สึกอยากดื่มเหล้า

 

ความสะอาดของพนักงานบาร์เทนเดอร์

จะต้องมีความสะอาดเป็นอย่างมาก ตั้งแต่เรือนผมไปจรดเท้า ตลอดจนเสื้อผ้าที่สวมใส่ เพราะพนักงานบาร์จะต้องปรุงเหล้าให้แขกดื่ม และต้องปรากฏกายให้แขกเห็นเด่นอยู่เสมอในบาร์ ความสะอาดในร่างกายบุคคลแบ่งออกได้ดังนี้

  1. ผม ต้องหวีให้เรียบร้อยและสระให้สะอาด มัดเกล้าหรือติดกิ๊ปให้สวยงาม อย่าให้มีรังแคหรือฝุ่นจับอยู่
  2. หู ตา จมูก ปาก และใบหน้า ต้องรักษาความสะอาดให้มากที่สุด
  3. เสื้อผ้า ต้องรีดและพยายามอย่าให้สกปรกได้ และควรอย่าให้มีคราบของเหงื่อไคลหรือน้ำผลไม้ติดอยู่เพราะดูไม่สวยงาม
  4. รองเท้า ต้องขัดให้มันและเงางาม ไม่ควรใส่รองเท้าที่มีพื้นลื่น ส้นสูง เพราะอาจจะทำให้หกล้มได้
  5. เล็บมือ ต้องตัดให้สั้นและล้างมือให้สะอาดอย่าให้มีขี้เล็บติดอยู่ และไม่ควรทาสีเล็บด้วย เพราะเมื่อเวลาเสิร์ฟ แขกเห็นอาจทำให้แขกรังเกียจ

 

 

หลักการดื่ม

หลักการดื่ม สามารถแบ่งออกเป็น 4 ประเภท คือ

  1. การดื่มแบบ Straight Up
  2. การดื่มแบบ On the Rock
  3. การดื่มแบบ With Soft Drink
  4. การดื่มแบบ Cocktail

 

การดื่มแบบ Straight Up คือการดื่มแบบเพียว ๆ

  1. Dessert Wine

วิธีทำ ใส่เหล้า Port ,Sherry ลงไป ? ของแก้วหรือ 2 Jigger

  1. Aperitif
  2. Liqueur ใช้แก้ว Liqueur
  3. Spirit

วิธีทำ ใส่เหล้าจำพวก Aperitif ,Liqueur ,Spirit ลงไป 1 Jigger ใช้แก้ว Liqueur

ยกเว้น Brandy ต้องใช้แก้ว Brandy Snifter

หมายเหตุ การดื่มแบบเพียว ๆ ใช้แก้ว 3 ชนิด คือ

    1. Sherry
    2. Brandy Snifter
    3. Liqueur

 

การดื่มแบบ On the Rock คือ การดื่มแบบเอาเหล้าผสมน้ำแข็งที่นิยมดื่ม คือ

  1. Aperitif
  2. Liqueur
  3. Spirit

วิธีทำ

  1. นำน้ำแข็งทุบบรรจุลงในแก้ว Rock ? ของแก้ว แล้วนำส่วนผสมเทลงไป 1 Jigger
  2. เสิร์ฟด้วยไม้คนเล็ก (Cocktail Pick)

 

หมายเหตุ ยกเว้นเหล้าที่ต้องใส่มะนาวฝานลงไป 1 ชิ้น

  1. Dry Vermouth
  2. Sweet Vermouth
  3. Campari
  4. Gin
  5. Rum
  6. Vodka
  7. Doubonnet

 

การดื่มแบบ With Soft Drink คือ การดื่มแบบเอาเหล้าผสมกับน้ำอัดลมต่าง ๆ ที่นิยมดื่ม เช่น

  1. Aperitif
  2. Liqueur
  3. Spirit

วิธีทำ

  1. นำน้ำแข็งบรรจุลงไปในแก้ว High-ball ประมาณ ? ของแก้ว แล้วนำส่วนผสมใส่ลงไป 1 Jigger
  2. เติมน้ำอัดลมให้ได้ ? ของแก้ว
  3. เสิร์ฟด้วยไม้คนยาว 1 อัน (Swizzle Stick)
  4. ยกเว้นเหล้า 7 อย่าง ที่ต้องใส่มะนาวฝานลงไป 1 ชิ้น

 

หมายเหตุ Gin ต้องใส่ Quarter Section of Lime (มะนาวซีก) ลงไป 1 ชิ้น

การดื่มแบบค็อกเทล

  1. Whisky Baseมีวิสกี้เป็นตัวนำ
  2. Gin Baseมียีนเป็นตัวนำ
  3. Rum Baseมีรัมเป็นตัวนำ
  4. Vodka Baseมัวอดก้าเป็นตัวนำ
  5. Other Cocktail มีเหล้าหลาย ๆ อย่างรวมกัน

Back Home