๓.พระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่ มีเหตุผลอย่างไรที่พอจะให้เชื่อได้ว่าพระพุทธเจ้ามีอยู่จริงๆ?
         ที่ถามว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่นั้นทราบไหมว่าพระพุทธเจ้าที่สงสัยว่ามีจริง
หรือไม่นั้น พระองค์คือใคร? ผู้ถามรู้จักพระพุทธเจ้าในฐานะอย่างไร?
คนเราแปลกดีเหมือนกันบางครั้งพูดกันถึงเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้แต่เอาเข้าจริงๆไม่ทราบ
ว่าเรื่องนั้นเป็นจริงหรือไม่ชาวพุทธเป็นจำนวนไม่น้อยที่กล่าว
      พุทธํ สรณํ คจฉามิ หรือ นโมตสส ภควโต อรหโต สมมาสมพุทธสส
มานานแสนนานวันดีคืนดีลุกขึ้นมาถามเพื่อนว่า
        "พระพุทธเจ้ามีจริงหรือคนโบราณอุปโลกน์ขึ้นหรือเปล่าก็ไม่รู้" หรืออาจคิดว่า
พระพุทธเจ้ามีจริงไหมหนอ? เป็นต้น
        การตอบว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือไม่นั้นเราต้องทราบว่าพระพุทธเจ้าคือใครให้ได้
เสียก่อนท่านได้ให้คำนิยามว่า
"พระพุทธเจ้าคือท่านผู้รู้ดีรู้ชอบด้วยพระองค์เองแล้วสอนบุคคลอื่นให้รู้ตามด้วย"
        นี่คือพระพุทธเจ้าในความเข้าใจความเชื่อถือของชาวพุทธผู้แสดงตนนับถือพระองค์
พระพุทธเจ้าในความหมายดังกล่าวเป็นบุคคลที่มีตัวตนอยู่จริงในประวัติศาสตร์เช่นเดียว
กับจีนมีเล่าจื้อ ขงจื้อ เม่งจื้อ ไอคุปต์มีพระนางคลีโอพัตรา กรีกมีโสกราตีส เพลโต อริสโตเติ้ล คือเป็นบุคคลที่เคยเกิดขึ้นในโลกเมื่อหลายพันปีมาแล้วมีหลักฐานทางโบราณ
คดี ประวัติศาสตร์ ศิลาจารึก และเอกสารบันทึกต่างๆยืนยันถึงความมีอยู่ของ
พระองค์ ในฐานะที่เป็นคนๆหนึ่งผู้ได้อุบัติบังเกิดมาเช่นเดียวกับที่คนทั้งหลายเกิดดำรง
อยู่และแตกดับไปในยุคสมัยต่างๆ
        ที่แปลกมากคือความมีอยู่ของคนอื่นๆเช่นนักปราชญ์ฝรั่งเป็นต้นที่กล่าวแล้วไม่มี
ใครไปตั้งข้อสงสัยว่าท่านเหล่านั้นมีตัวตนอยู่จริงหรือไม่ แต่พอเรื่องความมีอยู่ของเจ้า
ชายพระองค์หนึ่งที่ทรงพระนามว่า สิทธัตถราชกุมารผู้ประสบความสำเร็จในชีวิต
ด้วยการตรัสรู้พระธรรม กลับมีคนสงสัยกันนี่ ถ้าพระพุทธเจ้าเป็นฝรั่งและฝรั่งยืนยัน
ว่าพระพุทธเจ้าเป็นฝรั่งที่มีตัวตนอยู่จริงคงไม่มีใครสงสัย เพราะสำหรับคนบางพวกนั้น
ขอเพียงฝรั่งว่าเท่านั้นเชื่อถือกันได้ยังกับเป็นเทวโองการจากสวรรค์ ช่างน่าอนาถใจจริงๆ
        ความมีอยู่ของพระพุทธเจ้าในแง่ที่ทรงรอบรู้หรือตรัสรู้และสมบูรณ์ด้วยพระคุณตาม
ที่พูดกันนั้นหากใช้ปัญญาพิจารณาด้วยความรู้สึกว่า
"คนดีวิเศษนั้นหาได้มีเพียงชาติฝรั่งชาติเดียวไม่โดยที่แท้ ท่านที่เป็นศาสดาของโลก ล้วนแล้วแต่เป็นคนเอเซียทั้งนั้น ในประวัติศาสตร์ของมนุษย์นั้นไม่ปรากฏว่าฝรั่งเด่นกว่า
คนเอเซียในด้านความรู้ ความเข้าใจในเรื่องจิตใจ ศีลธรรม จรรยา สัจธรรม ฝรั่งเก่งในด้านวัตถุเท่านั้นและปัจจุบันนี้ไม่ปรากฏว่าฝรั่งสามารถควบคุมวัตถุที่ตน
คิดค้นขึ้นมาได้ทุกอย่าง และมีอยู่ไม่น้อยที่วัตถุเหล่านั้นกำลังเป็นอันตรายต่อโลก"
        ด้วยความรู้สึกดังกล่าวนั้นจะทำให้คนยอมรับความมีอยู่ของพระพุทธเจ้า
ในด้านรูปธรรมและนามธรรมที่ท่านจัดเป็นพระคุณ ๓ ประการคือ
๑. พระปัญญาคุณ เราทราบได้จากการศึกษาคำสั่งสอนของพระองค์ที่ทรงจำแนกแสดงไว้เป็นอันมาก
ทั้งเรื่องทั่วๆไปจนถึงเรื่องที่เป็นปรมัตถธรรมอันยากแก่การเข้าใจ แต่ก็เป็นความจริงที่
ใครๆไม่อาจจะปฏิเสธไดเรายอมรับพระปัญญาของพระพุทธเจ้าในฐานะผู้สอนคำสอน
เหล่านั้นเช่นเดียวกับการยอมรับความมีอยู่ของโสกราตีส เพลโต อริสโตเติ้ล เพราะผลงานทางปรัชญาในด้านต่างๆของท่าน
๒. พระบริสุทธิ์คุณ
คือพระองค์มีพระทัยบริสุทธิ์ปราศจากกิเลส เราอาจทราบได้จากคำสอนพระพุทธจริยา
ของพระองค์เช่นทรงสรรเสริญ การบูชาด้วยการปฏิบัติตนเป็นคนดี สำหรับคนทั้งหลายผู้
นับถือพระองค์ถือว่าเป็นการบูชาต่อพระองค์อย่างยอดเยี่ยม ทั้งๆที่การบูชาเช่นนั้น
ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบเป็นผู้ได้รับผลโดยตรงด้วยตนเอง
        ในขณะเดียวกันทรงแสดงว่าการบูชาด้วยวัตถุสิ่งของอันเป็นผลที่พระองค์และ
พระสงฆ์จะพึงได้รับโดยตรงว่าสู้การบูชาด้วยการปฏิบัติตนเป็นคนดีไม่ได้ คนมีจิตใจ
บริสุทธิ์อย่างแท้จริงเท่านั้นจึงจะพูดคำพูดในลักษณะที่ไม่ใส่ใจถึงประโยชน์ตนเช่นนี้ได้.
๓. พระมหากรุณาคุณ คือการที่พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณามากนั้นเราจะพบว่างานเพื่อตนของพระพุทธ
เจ้านั้นทรงทำสำเร็จตั้งแต่เมื่อตรัสรู้แล้วเวลาอีก ๔๕ ปี ภายหลังจากการตรัสรู้นั้นเป็น
การทำงานเพื่อประโยชน์เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุขแก่คนทั้งหลายโดยไม่ได้คำนึงถึงความ
เหนื่อยยากลำบาก ส่วนพระองค์แม้ทรงอาพาธหนักจวนปรินิพพานก็ยังทรงทำงานเพื่อ
คนอื่นจนวาระสุดท้าย คนที่ไม่มีจิตใจเต็มด้วยความกรุณาต่อคนอื่นไม่มีใครยอมลำบาก
ตนเพื่อคนอื่นเช่นนี้หรอก
        อีกประการหนึ่งความมีอยู่ของสถาบันสงฆ์ในประเทศต่างๆสืบต่อกันมาอย่างมีระบบ
มีกฎเกณฑ์ประวัติความเป็นมา ย่อมเป็นการแสดงว่าต้นเดิมที่สร้างสถาบันนี้ขึ้นมานั้น
มีอยู่และท่านผู้นั้นเองที่เรียกกันว่า พระพุทธเจ้า
        เรื่องพระพุทธเจ้ามีหรือไม่นั้นอย่าปฏิเสธด้วยเหตุเพียงว่าตนไม่เห็นตนไม่เชื่อเพราะ
เรื่องในโลกนี้ทั้งในปัจจุบันและอดีตมีมากเหลือเกินที่เราไม่ได้เห็นแต่เราต้องเชื่อเพราะ
อาศัยปัจจัยในการเชื่ออย่างอื่นๆ เช่นความมีอยู่ของปู่ของปู่ไม่มีใครเคยเห็นกันหรอก
แต่ใครๆก็ไม่ปฏิเสธว่าปู่ของปู่ตนไม่มีเรื่องความมีอยู่ของพระพุทธเจ้าทั้งในด้านรูปธรรม
และนามธรรมก็นัยเดียวกัน

๔.พระพุทธเจ้าเป็นคนสู้พระเจ้าในศาสนาเทวนิยมไม่ได้เพราะ
ท่านเป็นเทวดาจะให้สู้กันในฐานะอะไรละ?
       จะให้สู้กันในฐานะอะไรละ?ที่ถามมานั้นแสดงว่าพระเจ้าดีกว่าพระพุทธเจ้าเพราะ
ว่าเป็นเทวดาซึ่งผู้ถามมีความเข้าใจว่าเทวดาดีกว่ามนุษย์ การจะพูดเพียงกำเนิดอย่าง
เดียวเราไม่อาจวัดกันว่าใครเก่งกว่าดีกว่าหรอกเพราะความจริงที่ยอมรับกันเป็นสากลนั้น               "ความดีความเลวของคนไม่ได้ถูกกำหนดที่ชาติกำเนิดแต่กำหนดโดยใช้การ
กระทำของเขาเหล่านั้นเป็นเครื่องตัดสิน"
        อันที่จริงพระพุทธศาสนาหาได้มีหลักการที่จะนำเอาพระพุทธเจ้าไปเปรียบเทียบกับ
ใครๆอันมีลักษณะแข่งดีอวดดีแต่ประการใดไม่ในเรื่องนี้ สนังกุมารพรหมซึ่งมีกำเนิด
สูงกว่าเทวดาหลายชั้นได้กล่าวไว้ว่า
       "ในหมู่มนุษย์ผู้รังเกียจกันด้วยชาติกำเนิดกษัตริย์เป็นผู้ประเสริฐสุดแต่ท่าน
ผู้สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะประเสริฐที่สุด ในหมู่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย"
         พระพุทธเจ้านั้นทรงมีพระคุณที่เราสวดกันว่า วิชชาจรณสมปนโน แปลว่าทรงสม
บูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ เทวดา มาร พรหม ยอมรับว่าพระองค์ทรงประเสริฐกว่าพวก
เขา จนเขายอมรับนับถือพระองค์เป็นสรณะกันเป็นอันมาก
        แสดงว่าสนังกุมารพรหมเป็นต้นยอมรับความจริงในส่วนนี้ แต่คนกลับพยายามยัด
เยียดความถือตัวยกตนข่มท่านให้แก่เทวดาผู้ยอมรับความจริงดังกล่าวแล้วจะไม่เป็นการ
ฟุ้งซ่านมากไปหรือ?

๕.พระพุทธเจ้ายังต้องมีพ่อมีแม่แต่พระเป็นเจ้าไม่ต้องมีเพราะ
เป็นผู้สมบูรณ์ที่สุดจึงมีเองเป็นเองได้พระเป็นเจ้าจึงวิเศษกว่า
พระพุทธเจ้า.
       เรื่องนี้ก็ว่ากันไปอีกเช่นเคยดูเหมือนไม่มีในหลักของทางศาสนาเทวนิยมเสียด้วยแต่
คนก็พยายามจะเอามานะ(ความถือตน) อันเป็นกิเลสหยาบๆไปใส่ให้พระเป็นเจ้าอยู่
เสมอ พระเป็นเจ้าน่าจะปรามๆศิษย์พวกนี้เสียบ้าง พระอินทร์เสียสถานะของจอมเทพใน
ชมพูทวีปนั้นเพราะลูกน้องชอบเบ่งนั่นเอง แสดงกฤษดาภินิหารเสียจนพระอินทร์เสีย
คนถูกลดฐานะลงมาเป็นระดับ เทวดา เจ้าสวรรค์เพียงชั้นเดียว
       ดังได้กล่าวแล้วว่าคำถามนี้หาได้เกิดจากหลักการของศาสนาประเภทเทวนิยมไม่แต่
เมื่อกล่าวมาเช่นนั้นได้เราก็อาจได้หลักที่ควรแก่การพิจารณาคือ พระพุทธเจ้าได้พระนาม
ว่า สยัมภู แปลว่าผู้เป็นเอง     โดยหมายเอาการตรัสรู้ของพระองค์ซึ่งเกิดขึ้นด้วยความเพียรพยายามของพระองค์ หาได้มีใครบันดาลให้เกิดชึ้นไม่ เมื่อเป็นเช่นนี้ข้อควรพิจารณา
สำหรับปัญหาข้อนี้คือ
        ตามหลักความจริงแล้วสรรพสิ่งย่อมเกิดมาจากเหตุ ไม่มีสิ่งอันใดที่เกิดขึ้นโดยปราศ
จากเหตุ แต่ด้วยสมมติฐานที่ว่าพระเจ้าเกิดเป็นสยัมภูโดยปราศจากเหตุนั้นเองข้อที่ควร
เปรียบเทียบสำหรับผู้ต้องการเปรียบเทียบ คือ
        ความเป็นเองของพระเจ้าเปรียบเหมือนคนที่ร่ำรวยเพราะเกิดมารวย กับความเป็นเองของพระพุทธเจ้าเปรียบเหมือนความร่ำรวยของคนที่เกิดขึ้นจาก
ความเพียรพยายามของตนเอง     ในสายตาของบัณฑิตพอจะบอกได้หรือไม่ว่าระหว่างคนทั้งสองนั้นใครคือคนที่มี
คุณสมบัติ ฝีมือ ความสามารถควรแก่การนับถือมากว่ากัน?
       การเผยแผ่ศาสนาแบบยกตนข่มท่านนั้นนักศาสนาทั้งหลายควรยุติได้แล้วเพราะนั่น
หาใช่คุณสมบัติที่ดีของนักศาสนาไม่ เพราะเป็นการกล่าวร้ายการล้างผลาญกันระหว่าง
ศาสนาต่อศาสนาที่น่าขายหน้ามากที่สุด คือ
        "การเผยแผ่ศาสนาด้วยวิธีโจมตีอีกศาสนาหนึ่งนั้น แสดงให้เห็นว่าตนเอง
ไม่ได้รับผลจากศาสนาแม้แต่วจีทุจริตก็ยังละไม่ได้แล้วยังจะไปเผยแผ่ศาสนา
ของตนให้คนอื่นนับถืออีกหรือ?"
        งานที่นักศาสนาแต่ละศาสนาควรทำในปัจจุบัน คือการทำศาสนิกในศาสนาของตน
ให้เป็นศาสนิกที่ดีให้ได้ ในขณะเดียวกันควรมีการร่วมมือประสานงานกันเพื่อให้เกิดผล
ในทางดำรงอยู่อย่างมั่นคงแห่งศาสนาทั้งหลาย เพราะศาสนาแต่ละศาสนานั้นมีความดี
พอที่จะสร้างศาสนิกให้เป็นคนดีได้ในระดับต่างๆ ถึงเวลานานแล้วที่นักศาสนาจะกล่าว
คำว่า "ขอให้เรามาร่วมมือกันเถิด อย่าได้ด่าทอทะเลาะวิวาทกันเลย."