๖.พระพุทธเจ้าตรัสรู้เพราะพระเจ้าดลใจจะตรัสรู้เองไม่ได้เด็ก
จะพูดเองไม่ได้ต้องมีคนสอนหรือได้ยินคนอื่นพูดจึงพูดได้ ฉันใด
การตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าก็ต้องอาศัยการดลใจของพระเจ้าหรือ
ท่านว่าไม่จริง?
       ไม่ว่าอะไรหรอกจะว่าอย่างไรก็ว่ากันไปปัญหาข้อนี้มาตะเภาเดียวกับข้อก่อนๆคือ
พูดกันเอาเองแต่นำไปใส่โอฐของพระเจ้า การพูดจึงต้องพูดแบบสมมติตามปัญหาที่ถาม
มา คือ สมมติว่าถ้าพระเจ้าดลใจได้จริงแล้ว
        ทำไมพระเจ้าจึงได้ดลใจให้พระพุทธเจ้าตรัสรู้มาแสดงธรรมประกาศศาสนาที่ขาด
การยอมรับนับถืออำนาจของพระเจ้าเล่า ทั้งๆที่พระเจ้าเองก็ต้องการให้คนนับถือจงรัก
ภักดีต่อพระองค์มิใช่หรือ การกระทำเช่นนั้นเป็นการทำของคนฉลาดหรือ?
        ทำไมพระเจ้าไม่ดลใจให้คนในศาสนาพุทธ เชน เต๋า ขงจื้อ และแม้แต่คอมมิวนิสต์
ให้หันมานับถือพระองค์ให้หมดเพื่อจะได้มีศาสนาเดียวในโลกเล่า
        ปัจจุบันคนกำลังตระเตรียมกองกำลังเป็นอันมากเพื่อเตรียมรบกัน หากพระเจ้าดลใจ
ให้คนตรัสรู้ได้จริงก็น่าจะดลใจให้รัฐบาลของทุกประเทศในโลกหยุดความคิดในทางแสวง
หาอำนาจกันให้หมด นำเอาเงินที่ต้องใช้ไปเพราะการสงครามเตรียมสงครามสร้าง
แสนยานุภาพทางทหารมาแก้ไขปัญหาเรื่องความเป็นอยู่ของประชาชนจะไม่ดีกว่าหรือ?
        ในเมื่อปัญหาข้อนี้ตอบไปตามสมมติเรื่องทั้งหมดจึงถือเพียงการสมมติเอาแต่ข้อที่น่า
จะกำหนดกันไว้คือ
พระเจ้าไม่ได้ว่าไว้อย่านำอะไรไปใส่โอฐของพระเจ้าเลย              ข้อใดที่พระพุทธไม่ได้ทรงแสดงไว้อย่าได้กล่าวอ้างพระองค์เลย
ข้อใดที่ศาสนา ผู้บังคับบัญชาผู้ใหญ่ไม่ได้พูดอย่าอ้างกันนักเลย
        เพราะนั่นย่อมเป็นการทำลายทั้งตนเองและเกียรติภูมิของผู้ที่ตนกล่าวอ้าง ผู้ใหญ่
ในระดับต่างๆต้องดับดิ้นสิ้นเชื่อไปมากต่อมาก เพราะบริวารอ้างกันจนเสียคนนั้นเอง.

๗.พึ่งพระพุทธเจ้าสู้พึ่งพระเจ้าไม่ได้เพราะพระพุทธเจ้าดับไปแล้ว
แต่พระเจ้ายังอยู่ให้พึ่งและการพึ่งเทวดาย่อมดีกว่าพึ่งมนุษย์ข้อนี้
ท่านมีความเห็นว่าอย่างไร?
        เรื่องนี้ขึ้นอยู่กับความซาบซึ้งของการยอมรับถึงคุณค่าของสิ่งที่ตนยึดถือพอใจ
เหมือนกับเพลงที่ร้องกัน ความว่า
"ขี่รถเก๋งแสนสบาย อีกคนคนบอกว่าแพ้ควายแท้เทียว เพราะไม่หวาดเสียวเหมือนขี่รถ"
        เรื่องการพึ่งพระเจ้ากับพระพุทธเจ้าก็เช่นเดียวกัน ใครเห็นคุณค่าของใครมากกว่าก็
ย่อมกล่าวว่าฝ่ายนั้นดีกว่า นอกจากคนมีความรู้สึกว่า

"ขี่ควายขี่เก๋งก็เหมือนกัน เพราะพระจันทร์ดวงเดียวกัน"
        ใครจะถือพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งหรือจะถือพระเจ้าเป็นที่พึ่งก็ตาม ย่อมได้ชื่อว่า
เป็นคนมีศาสนาเป็นหลักใจในการดำรงชีวิตเช่นเดียวกัน เมื่อเกิดการยอมรับในประเด็น
นี้ได้แล้วการอ้างพึ่งใครดีกว่าใครก็ไม่จำเป็น เพราะต่างคนต่างยึดมั่นในแนวทางของตน
ทำให้ตนเป็นศาสนิกที่ดีในศาสนานั้นๆ ก็จะได้รับผลตามควรแก่การปฏิบัติตามหลักใน
ศาสนานั้นๆ
        แต่ถ้าเราจะพูดกันตามหลักความเป็นจริงแล้วทั้งพระพุทธเจ้าและพระเจ้าได้แสดง
ฐานะของตนเองออกมาอย่างเปิดเผยที่สุด คือ
"จงช่วยตนเองก่อน แล้วพระเจ้าจะช่วยเจ้า"
นี่คือหลักในศาสนาที่นับถือพระเจ้า
"ความเพียรพยายาม อันเธอทั้งหลายพึงทำเอง ตถาคต เป็นเพียงผู้บอกให้เท่านั้น"
นี่คือหลักในศาสนาพุทธ
        จากข้อความเหล่านี้เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าก็ดีพระพุทธเจ้าก็ดีทำหน้าที่ชี้แจง
แสดงทางถูกทางผิดให้คนได้พิจารณาเอาเท่านั้น หาได้มีอำนาจในการดลบันดาลให้
ใครๆเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ตามที่ตนต้องการได้ไมด้วยอำนาจพระมหากรุณาที่พระพุทธ
เจ้าและพระเจ้ามีอยู่นั้นหากท่านมีอำนาจในการดลบันดาลแล้วท่านคงบันดาลให้คนพ้น
ทุกข์กันหมดแล้ว โดยเฉพาะพระพุทธเจ้าเองหากดลบันดาลได้ก็ไม่ต้องลำบากพระวรกาย
เที่ยวสั่งสอนคนอยู่ถึง ๔๕ปี หรอกดลบันดาลกันประเดี๋ยวเดียวก็เป็นสุขกันหมดโลกแล้ว
แต่งานของพระพุทธเจ้าเป็นงานที่ทรงทำเพียง
       ชี้ทางบรรเทาทุกข์    และชี้สุขเกษมศานต์
    ชี้ทางพระนฤพาน      อันพ้นโศกวิโยคภัย
        ใครจะถือใครเป็นที่พึ่งก็ตามควรจะทราบเงื่อนไขในการพึ่งว่าท่านที่เรายึดเป็นที่พึ่ง
นั้นจะสามารถช่วยเราได้ในขอบข่ายแค่ไหนเพียงไร ไม่ใช่ว่าพอถือใครเป็นที่พึ่งแล้วตนเอง
ไม่ต้องการทำอะไรเลยทุกอย่างขึ้นอยู่กับท่านผู้เป็นที่พึ่งของเราทั้งหมด ไม่มีที่พึ่งเช่นนั้น
ในโลกนี้ไม่ว่าในศาสนาใดก็ตาม
        คนที่พึ่งคนอื่นและทุกอย่างต้องขึ้นอยู่กับคนที่ตนพึ่งทั้งหมดนั้นหากจะมีก็มีเพียง
คนปัญญาอ่อน คนพิการทางร่างกายทางสมองเท่านั้นที่ช่วยตนเองไม่ได้ ส่วนคนปกติ
ธรรมดาแล้วอย่าไปคิดหวังที่พึ่งเช่นนั้นเลย เพราะจะเสียเวลาและตายเปล่าโดยไม่ได้
ประโยชน์อะไรขึ้นมา
        เมื่อพระเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเป็นที่พึ่งได้โดยฐานะดังกล่าว ปัญหาเรื่องที่พึ่งจึงมีความ
เกี่ยวข้องอย่างสำคัญกับคนที่ถือพระเจ้าพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งว่า
        "ศาสนิกในศาสนาเหล่านั้นจะสามารถเอาคำสอนในศาสนาของตนมาลงมือปฏิบัติจน
สามารถพัฒนาจิตใจ ความระพฤติ และขจัดทุกข์ ได้รับความสุขอันเกิดจากการปฏิบัติ
ตามคำสอนเหล่านั้นมากน้อยแค่ไหนเพียงไร"
        การถือพระพุทธเจ้าได้อย่างสมบูรณ์นั้นทำให้คนได้บรรลุมรรค ผลนิพพานอันเป็น
การดับกิเลสและความทุกข์ได้ทั้งหมด
        การถือพระเจ้าเป็นที่พึ่งคือการเข้าร่วมกับพระเจ้าตลอดนิรันดร ใครเห็นว่าอะไรดีกว่า
ก็เลือกเอาโดยไม่จำเป็นว่าจะต้องไปตำหนิคนอื่นหรือยกตนข่มท่าน
        เมื่อทำได้เช่นนี้เอกภาพระหว่างคนนับถือศาสนาต่างๆก็จะเกิดขึ้นได้โดยไม่จำเป็นจะ
ต้องนับถือศาสนาเดียวกันหรือมีพระเจ้าองค์เดียวกัน
        ส่วนที่ว่า "พึ่งเทวดาย่อมดีกว่าพึ่งมนุษย์" นั้นข้อนี้เป็นเรื่องของความสมัครใจที่บุคคล
นั้นๆเลือกเอาเองเช่นเดียวกัน แต่ที่ไม่ควรลืมคือเทวดากับมนุษย์นั้นมี กิเลส โลภ โกรธ หลงเหมือนกัน แต่มีชาติกำเนิดแตกต่างกันเหมือนคนไทยกับคนต่างชาติ ฉะนั้นการถือว่า
พึ่งเทวดาดีกว่าพึ่งมนุษย์นั้นได้แสดงออกมาให้เห็นตามสมควรว่าคนไม่น้อยมีความฝังใจ
ในเรื่องนี้มากพอสมควร เช่น
       - การเที่ยวอ้อนวอนบวงสรวงเทวดา เพื่อให้ดลบันดาลให้ตนได้อย่างนั้นอย่างนี้
ขอหวย ขอเบอร์กันจนขาดการตั้งใจทำมาหากิน บางรายร้ายแรงจนต้องขายทรัพย์สิน
เพราะไปหวังพึ่งเทวดากัน เทวดาพึ่งได้จริงหรือไม่ก็น่าจะรู้ ๆกัน อยู่แล้ว
   - เกิดการดูหมิ่นตนเอง ไม่เชื่อความสามารถวิชาความรู้ของตนทำอะไรไม่ค่อยใช้สติ
ปัญญา แต่ต้องการพึ่งอำนาจภายนอกมีเทวดาเป็นต้น ความยากจนความตกต่ำในด้าน
ฐานะวิชาความรู้ก็ตามมา คนชาติใดก็ตามที่ไม่หวังพึ่งอำนาจภายนอกมากเกินไปแต่
อาศัยเหตุผลสติปัญญาเป็นหลักในการดำรงชีวิต ความเจริญในด้านต่างๆก็จะเกิดขึ้นได้
จนป่านนี้แล้วคนในบ้านเมืองของเราบางพวกยังหลงมอบความเป็นอยู่ของตนให้ขึ้นอยู่
กับการดลบันดาลของอำนาจภายนอกแล้วจะโทษใครกันเล่า?
    -เทวดานั้นแม้แต่ศาลจะอยู่ก็ต้องให้คนสร้าง ให้หากอำนาจในการช่วยเหลือ
มีจริงเทวดา ก็คงไม่เก่งเกินพระเจ้าคือ จะช่วยได้เฉพาะแก่คนที่ช่วยตัวเองก่อนแล้ว
เท่านั้น
        มีเรื่องเทพารักษ์กล่าวกับคนขับเกวียนผู้อ้อนวอนให้เทวดาช่วย เมื่อล้อเกวียน
ตกหลุมลึก วัวลากไปไม่ไหวที่ว่า
        "เจ้าจงเอาบ่าแบกลูกล้อ แล้วเฆี่ยนวัวให้เดินลูกล้อก็จะเคลื่อนที่พ้นจากหลุม
ได้การที่ร้องโวยวายไปเสียก่อนโดยยังไม่ได้ทดลองกำลังของตนใครเล่าจะช่วยเจ้าได้"
        คำกล่าวนี้ย่อมเป็นตัวอย่างอันดีของคนหวังพึ่งอำนาจภายนอกเพียงอย่างเดียวโดย
ตน ไม่ต้องลงทุนใช้ความเพียรพยายามแต่ประการใด คนเรานั้นหากอยู่ในสภาพดังกล่าว
แล้วไม่ว่าจะถือพระพุทธเจ้า พระเจ้า เทวดา หรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างอื่นก็ไปไม่รอดเสมอกัน
ทั้งนั้นแหละ

๘.พระพุทธเจ้าเสด็จออกผนวชเป็นการทอดทิ้งครอบครัวให้ได้รับ
ความลำบากจะไม่ทำให้ชื่อว่าโหดร้ายนักหรือ?
        อย่างนี้เขาเรียกว่าคิดเอาเองเพราะความเห็นแก่ตัวและไม่เข้าใจเหตุผลของคนที่ทำ
งานเพื่ออุดมการณ์อันยิ่งใหญ่ ก็อยากรู้เหมือนกันว่าครอบครัวของพระพุทธเจ้ายากจน
นักหรือ พอขาดคนไปคนหนึ่งก็ลำบากกันแล้วอย่าลืมนะครอบครัวพระพุทธเจ้าเป็น
กษัตริย์อยู่ในกรุงกบิลพัสดุ์ มีข้าราชบริพารแวดล้อมคอยถวายความสะดวกทุกอย่าง
อย่างนี้หรือเรียกว่าลำบาก?      "ถ้าอย่างนั้นใครเล่าที่ไม่ลำบาก?"
        เอาเถอะสมมติว่าลำบากก็แล้วกันลำบากมากเสียด้วยแต่เราก็ต้องมองความจริง
ที่มีอยู่ใกล้ตัวของเราเช่น
         ทหารไปราชการสงครามทอดทิ้งลูกเมียให้อยู่ข้างหลังบางคนไปแล้วไม่ได้กลับมา
ทหารเหล่านั้นโหดร้ายมากไหม?
        นายแพทย์และผู้ทำงานเพื่อสาธารณประโยชน์ทั้งหลายต้องไปช่วยเหลือคนอื่น
จนไม่ค่อยได้มีโอกาส ให้ความอบอุ่นแก่ครอบครัวคนเหล่านั้นโหดร้ายหรือ?
        คนที่ไปทำมาหากินในต่างถิ่นเพื่อนำเงินทองมาเลี้ยงครอบครัวปล่อยลูกเมีย
ให้คอยแล้วคอยอีกคนเหล่านั้นได้ชื่อว่าโหดร้ายหรือเปล่า?
       ไม่มีคนที่มีสติสัมปชัญญะคนใดหรอกที่จะตำนิติเตียนคนเหล่านั้นว่าเป็นคนโหดร้าย
มีแต่ยกย่องเป็นนักบุญเป็นนักวีรชนเป็นผู้รักลูกรักเมียกันทั้งนั้น พระพุทธเจ้าก็ทำนอง
เดียวกัน พระองค์เสด็จออกไปจากวังเพื่อแสวงหาพระธรรมอันวิเศษซึ่งเป็นอริยทรัพย์
เพื่อแจกจ่ายแก่ชาวโลกทั้งหลายผู้ปรารถนาความสุขความเจริญ เป็นการพรากจาก
พระญาติวงศ์เพียง ๖ ปี แต่กลับมาด้วยสมบัติอันเป็นอมตะช่วยให้พระญาติใกล้ชิด
ที่เรียกว่า ครอบครัว พระญาติอื่นๆและสรรพสัตว์ทั้งหลาย ให้ได้รับผลแห่งพระธรรมเป็น
การอำนวยประโยชน์อันไพศาลตราบเท่าปัจจุบันอย่างนี้หรือเรียกว่าโหดร้าย?