๒๓.เรื่องกรรมมีจริงหรือไม่
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วจริง หรือไม่ ขอทราบเหตุผลว่าพระพุทธศาสนา แสดงเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไร?
เรื่องกรรม
การให้ผลของกรรมตามสมควรแก่เหตุที่บุคคลได้กระทำลงไปนั้น เป็นเรื่อง
จริงๆอย่างที่ได้กล่าวมาส่วนหนึ่งแล้วในข้อก่อน
สำหรับในที่นี้จะพูดในส่วนที่เป็นการให้ผลของกรรมว่าเราจะสังเกตุได้อย่างไรเป็น
การเพิ่มเติมจากปัญหาข้อก่อน แต่อย่าลืมว่ากรรมมีความสลับซับซ้อนอยู่มาก
พระพุทธเจ้าทรงจำแนกในแง่การให้ผลของกรรมเพื่อเป็นหลักในการกำหนดพิจารณา
เชื่อมโยงให้เห็นว่าอะไรเป็นผลของอะไรเรียกว่า
มหากัมมวิภังคสูตรคือสูตร
ที่ทรงจำแนกกรรมขนาดใหญ่แบ่งเป็น ๔ ประเภท คือ
๑.พฤติกรรมของคนที่เป็นไปตามคัลลองแห่งกุศลธรรมแต่ได้รับความทุกข์ความเดือด
ร้อนในชาตินี้ และบังเกิดในทุคติหลังจากตายไปแล้วก็มี
๒.พฤติกรรมของบุคคล
ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันว่าเป็นคนทำทุจริตแต่ได้รับความสุข
ความเจริญในชาติปัจจุบันและบังเกิดในสุคติหลังจากตายไปแล้วก็มี
๓.พฤติกรรมของคนบางคนปรากฎให้เห็นในปัจจุบันว่าประกอบด้วยสุจริตธรรม
ด้วยได้รับความสุขในชีวิตปัจจุบันและตายไปเกิดในสุคติด้วยก็มี
๔.พฤติกรรมของคนบางคนปรากฎให้เห็นในปัจจุบันว่าเป็นผู้ทำทุจริตด้วยได้รับ
ความทุกข์ในชาติปัจจุบันและตายไปบังเกิดในทุคติด้วยก็มี
จากหัวข้อใหญ่ๆ๔
หัวข้อนี้จะพบว่า ๑-๒ ฟังดูออกจะสับสนเพราะดูเหมือนจะ
ขัดแย้งกันจนถึงกับมีคนกล่าวว่า "ทำดีได้ดีมีที่ไหน
ทำชั่วได้ดีมีถมไป" เป็นต้น
ที่เป็นเช่นนี้เพราะไม่เข้าใจนัยแห่งมหากัมมวิภังคสูตรการที่มองตามตัวอักษรเห็นว่า
สับสนนั้นอันที่จริงหาสับสนไม่ การที่คนสองประเภทแรกได้รับผลตรงกันข้ามกับกรรม
ในปัจจุบันของตน เป็นเพราะอกุศลกรรมและกุศลกรรมในอดีตมามีอิทธิพลเหนือชีวิต
ของเขา กรรมที่ปรากฎในปัจจุบันจึงไม่อาจให้ผลได้ต้องยกยอดไปให้ผลในโอกาส
ต่อไปส่วนสองประเภทหลังให้ผลแบบตรงตัวแต่ทั้งสี่ประเภทนั้นยังคงอยู่ในหลักการที่ว่า
"ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว" อยู่นั่นเองข้อนี้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงไว้ความว่า
-เป็นไปไม่ได้ที่คนผู้กระทำความชั่วแล้วจะได้รับผลเป็นความสุขความเจริญเพราะ
การกระทำความชั่วนั้นเป็นเหตุให้เกิดขึ้น
-เป็นไปไม่ได้ที่คนซึ่งกระทำความดีแล้วจะได้รับความทุกข์
ความเดือดร้อน เพราะการกระทำความดีของตนเป็นเหตุ
หากใครประสบกับผลที่มีลักษณะขัดแย้งกับเหตุที่ตนกระทำในปัจจุบันพึงรู้เถิดว่าผล
นั้นจะต้องเกิดมาจากเหตุในอดีตอย่างใดอย่างหนึ่งตามสมควรแก่ผลที่ปรากฎ
อันที่จริงการให้ผลแห่งกรรมนั้นเป็นการให้ผลตามลำดับที่บุคคลอาจกำหนดสังเกตุได้
เช่นบุคคลปลูกมะพร้าวสักต้นหนึ่งผลจะเกิดตามลำดับดังนี้
อันดับแรก
ได้ต้นมะพร้าวเป็นสมบัติหนึ่งต้น
อันดับสอง
เมื่อเวลาผ่านไปด้วยการเอาใจใส่ รดน้ำ พรวนดิน มะพร้าวก็ออกลูก
อันดับสาม
ลูกของมะพร้าวที่ออกมานั้นย่อมให้ผลไปตามลำดับจากอ่อนถึงสุก
อันดับสี่
เมื่อเรานำผลไปขาย หรือปรุงอาหาร ก็ได้รับประโยชน์จากมะพร้าวนั้น
และผลของมะพร้าวนั้นจะตามให้ผลแก่คนซ้ำซ้อนหมุนเวียนไปเรื่อยๆ
แม้ในเรื่อง
อื่นๆก็ทำนองเดียวกัน ขอเพียงใช้ความสังเกตพิจารณาก็จะเห็นได้ไม่ยากนัก
อีกประการหนึ่งที่ท่านถือว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญอันจะทำให้กรรมสามารถแสดง
ผลเต็มที่ทั้งในด้านดีและไม่ดีคือ
-กาล
หมายถึงยุคสมัยที่ผู้ปกครองหัวหน้าเป็นต้นลักษณะส่งเสริมให้ผลกรรม
ปรากฎได้ชัดเจน เช่น มีผู้ปกครองบ้านเมืองเป็นคนดี
ถือว่าเป็นกาลสมบัติ
-คติ หมายเอาภพ กำเนิด สถานที่ที่ตนอยู่อาศัยเกิดอำนวยให้กรรมให้ผลได้เติมที่
-อุปธิ
คือเรื่องสุขภาพพลานามัย ความสมบูรณ์ บกพร่องแห่งอวัยวะร่างกาย
-ปโยคะ คือการกระทำในปัจจุบันมีแนวโน้มไปในทางสนับสนุนให้กรรมแสดงผลได้
เต็มที่หรือไม่
ทั้ง
๔ ประการนี้ท่านจัดเป็นสมบัติคือสมบูรณ์ วิบัติคือบกพร่องไปในด้านกุศลกรรม
หากทั้ง๔ประการนี้สมบูรณ์ ผลกรรมก็ปรากฎได้อย่างเด่นชัด
อย่างที่เรียกกันว่า
๒๔.นาย ก.ได้รับทุกข์เวทนาแรงกล้า
นายข.จึงยิงให้ตายด้วย
ความสงสาร ต้องการให้พ้นจากความทุกข์เวทนานั้น
การกระทำ
ของนาย ข อย่างนี้จะผิดหรือถูกอย่างไร
ถ้าผิดเป็นการผิดศีล
หรือผิดธรรม ?
ผิดทั้งศีลและธรรมไม่มีเหตุผลสำหรับอ้างเช่นนั้น เรื่องนี้เพียงแต่ทำตนเองเป็นอุปมา
ว่าหากเราได้รับความทุกข์ทรมานอย่างหนักมีคนมายิงให้เราตายเรายินดีไหม
? คำตอบจะออกมาได้เอง ฆ่าคนด้วยความสงสารมีได้หรือ?
นอกจากจะเป็นคำพูดแบบหลอกตัวเอง
เพราะไม่ต้องการรับผิดชอบในคนสัตว์ที่ตน
จะต้องรับผิดชอบในความเป็นอยู่อย่างปกติของเขาของมัน
เช่นมีข่าวเสมอว่าฝรั่ง
ยิงสุนัขบ้าง ม้าของตนบ้างให้ตาย เพราะตนไม่อาจเลี้ยงดูได้เป็นต้น
เป็นการกล่าวอ้างไปอย่างนั้นเองให้ลองตรวจสอบจิตใจตนดูว่าอะไรคือความรู้สึก
อันแท้จริง ที่กระตุ้นให้ตนต้องทำเช่นนั้น จะพบว่าไม่ใช่ความกรุณาแน่นอน
อาจจะเป็น
ความเบื่อหน่ายระอา ความหวง ความเห็นแก่ตัวเป็นต้น
คนสัตว์ประสบความทุกข์ทรมาน
ท่านสอนให้กรุณาช่วยเหลือตามกำลังความ
สามารถ หากทำไม่ได้จริง ๆให้ทำใจเป็นอุเบกขา คือพิจารณาให้เห็นความที่สัตว์
หรือคนนั้นมีกรรมเป็นของ ๆตน เป็นต้น ไม่ใช่ทำด้วยการฆ่าให้ตาย
การกระทำของนาย
ข. ในปัญหานี้จึงผิดศีลข้อที่ ๑ และขาดเมตตา กรุณา ทั้งผิดกฎ
หมายในฐานฆ่าคนตายโดยเจตนาด้วย ถ้าทำอย่างนั้นจริงคงต้องกินข้าวหลวงนาน
ทีเดียว.