๒๕.ผู้ทำบาปเองก็เศร้าหมองเอง มีพระพุทธพจน์ตรัสไว้อย่างนี้
ถ้าตนไม่ทำแต่ใช้ให้เขาทำบาปอย่างนี้ผิดหรือไม่ ถ้าผิดไม่แย้ง
กับข้อความข้างต้นหรือ ?
        ผิดและไม่แย้งกับข้อความข้างต้นแต่ประการใดที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุไร ? เพราะว่า
กรรม คือ เจตนา ที่บุคคลกระทำลงไปนั้น ย่อมเป็นได้ทั้งทางกาย วาจา ใจ แต่ละอย่าง
เมื่อบุคคลกระทำลงไปย่อมเป็นผลให้เกิดเป็นบาป บุญ ตามสมควรแก่กรรมทั้งนั้น คนไทยโบราณท่านกล่าวไว้ให้คิดว่า
       "บาปคนทำ กรรมคนใช้ "
        การตัดสินว่าบาปหรือไม่บาปนั้น ท่านให้ดูที่เจตนาว่าประกอบด้วยกลุ่มกิเลสสาย
โลภะ โทสะ โมหะ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ หากประกอบด้วยกิเลส ๓ กลุ่มนี้ อย่างใด
อย่างหนึ่งไม่ว่าจะเป็นการกระทำด้วยกาย วาจา หรือแม้จะคิดด้วยใจก็ตามท่านถือว่า
เป็นบาปทั้งนั้น
        ด้วยหลักนี้ทำให้เราพบว่า แม้กฎหมายท่านก็ลงโทษทั้งคนทำเองและคนใช้จ้างวาน
ให้ทำเพราะว่าผิดกฎหมายเหมือนกัน เรื่องบาปก็เช่นนั้น หากใช้คนอื่นทำสิ่งที่เป็นบาป
ตนก็ได้รับบาปนั้นด้วยใช้ให้เขาทำสิ่งที่เป็นบุญตนก็ได้บุญด้วย.

๒๖.ศีลทำให้คนมีโภคสมบัติจริงหรือไม่ ถ้าจริงชาวประมงไม่มี
ศีล แต่ทำไมถึงรวย ?
        พระพุทธเจ้าทรงแสดงอานิสงส์คือผลอันเกิดขึ้นจากการรักษาศีลไว้ในมหาปริพพาน
สูตรก่อนกาลปรินิพพานของพระองค์ว่า ศีลที่บุคคลรักษาสำรวมระวังดีแล้วย่อมได้รับ
อานิสงส์ ๕ ประการ คือ
        ๑. ย่อมได้ลาภโภคสมบัติเป็นอันมาก
        ๒. กิตติศัพท์อันดีงามย่อมฟุ้งขจรไปในที่ทั้งปวง
        ๓. เมื่อไปในท่ามกลางชุมนุมชนใดก็ตามไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว
        ๔. ไม่หลงทำกาลกริยาคือตายอย่างมีสติ
        ๕. หลังจากตายไปแล้วย่อมบังเกิดในสุคติโลกสวรรค
        ชาวพุทธทั่วไปมักจะได้ยินคำกล่าวของพระเวลาให้ศีลท่านจะจบลงด้วยคำว่า
        "ศีลย่อมนำไปสู่สุคติ ศีลให้บุคคลถึงพร้อมด้วยโภคสมบัติ ศีลย่อมนำไปสู่นิพพาน
เพราะเหตุนั้นจงชำระศีลให้บริบูรณ์"
        ข้อความเหล่านี้เป็นหลักฐานที่เป็นพระพุทธดำรัส แต่บุคคลอาจสังเกตพบด้วยตนเอง
ว่าใครก็ตามที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการละเมิดศีล ถูก เขาอาจจะร่ำรวยได้ในบางโอกาส
แต่หากลองติดตามดูวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขาเหล่านั้นจะพบว่า มักจะฉิบหายไป
เพราะอันตรายในด้านต่างๆ ตรงกันข้าม กับทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นแก่ผู้มีศีลอาจจะเป็น
การค่อยๆเจริญขึ้น แต่เป็นความเจริญเติบโตอย่างมีสัดส่วนแบบธรรมชาติทั้งหลาย
ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นจะไม่ฉิบหายไปเพราะอันตรายต่างๆ เรื่องอานิสงส์ศีลส่วนนี้
จะเกิดความเข้าใจได้ดี ต้องอาศัย
        การสังเกตพิจารณาบุคคลผู้มีศีลเป็นรายๆไป
        การประจักษ์ด้วยตนเองเมื่อตนเป็นผู้มีศีล
        การได้ความสุขใจอันเกิดขึ้นจากการทำงานที่ปราศจากโทษ
        นอกจากนั้นศีลที่บุคคลรักษาดีแล้วนั้นย่อมนำไปสู่ความมีอริยทรัพย์คือทรัพย์ที่
ประเสริฐเพราะสามารถนำติดตนไปได้ ในกาล สถานที่ คติ ภพทั้งปวง คือ
        "ทรัพย์คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือโอตตัปปะ ทรัพย์คือ พาหุสัจจะ
ทรัพย์คือจาคะ ทรัพย์คือปัญญา"
        คำว่าทรัพย์คือสิ่งที่นำความปลื้มใจมาให้ จะพบว่าทรัพย์ภายนอกนั้นให้ความปลื้มใจ
ที่แฝงไว้ด้วยความวิตกกังวลห่วงใย หวาดหวั่น แต่ทรัพย์คือศีลนั้นให้ความสุขกาย
สบายใจที่ถาวร ยืนนาน ข้ามภพ ข้ามชาติได้ ศีลจึงเป็นทางให้เกิดโภคทรัพย์ในระดับ
ต่างๆดังนี้ ส่วนชาวประมงนั้นศีลไม่ได้มีเฉพาะข้อปาณาติบาตเมื่อไรเล่าศีลข้ออื่น
เขาไม่เสียนี่ เมื่อเขาขยันทำงานก็ย่อมได้เงินเป็นธรรมดา.

๒๗.นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่ ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของนักเผย
แผ่หรือ?
        เรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องที่ท่านได้บรรลุญาณที่เรียกว่า จุตูปปาตญาณคือญาณที่ทำ
ให้ทราบการเกิดความแตกต่างของสัตว์ทั้งหลาย ว่ามีได้เพราะอะไร ท่านเห็นความมี
อยู่ของนรกสวรรค์ด้วย ทิพพจักขุ คือตาทิพย์ซึ่งความรู้เหล่านี้จะเกิดขึ้นก็ต้องได้อภิญญา
ซึ่งแปลว่าความรู้อันยิ่ง ไม่ใช่วิสัยของคนธรรมดาจะรู้ได้เหมือนกับการรับภาพในอากาศ
การฟังเสียงจากที่ไกลเป็นวิสัยของเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุตามลำดับปัจจุบันใครๆ
ไม่อาจปฎิเสธว่าในบรรยากาศมีเสียงกล่าวถึงเรื่องต่างๆจากภายในประเทศบ้าง ภายนอกประเทศบ้าง แต่ถ้าเขาไม่มีวิทยุเขาก็ไม่อาจจะทราบเสียงนั้นได้เมื่อต้องการ
จะทราบฉันใดเรื่องนรกสวรรค์ก็มีลักษณะฉันนั้น
        การถกเถียงในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องของคนที่ถกเถียงรสว่าอร่อยไม่อร่อยด้วยหู
แทนที่จะพิสูจน์ด้วยลิ้น ซึ่งเถียงกันอย่างไรก็ได้แต่หาข้อยุติไม่ได้เรื่องนรกสวรรค์ก็เหมือน
กันการรู้ การเห็นนรกสวรรค์เป็นวิสัยของญาณและทิพย์จักษุ เมื่อไม่มีเครื่องมือ
สองประเภทนี้ ก็ต้องเถียงกันด้วยโวหารที่ไม่มีทางจบสิ้นเป็นการเสียเวลาโดยไม่เกิด
ประโยชน์อะไรเลย ที่สำคัญคือเรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องของผลแห่งกรรมอันถือว่าเป็น
อจินไตย คือไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิดเอาแต่จะทราบได้ด้วยการลงมือปฎิบัติเหมือน
การทราบชัดรสอาหารด้วยการบริโภคฉะนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้เราควรจับหลักอะไร ?
        ก็ต้องอาศัยตถาคตโพธิสัทธาคือเชื่อพระปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า เพราะ
เรื่องนี้ พระองค์ทรงรู้ เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วหาได้รู้เมื่อยังครองเรือนอยู่ไม่ พระพุทธเจ้า
นั้นทรงมีหลักในการสอนธรรม ๓ ประการข้อที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ
        "ทรงแสดงธรรมเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในสิ่งที่เขาควรรู้ควรเห็น"
        ในเรื่องที่ทรงแสดงนั้นมีเรื่องนรกสวรรค์อยู่ด้วย แสดงว่าเรื่องนี้ควรรู้ควรเห็น
เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้นั้นมีมากมายสุดจะนับจะประมาณได้ แต่ข้อที่นำมาสั่งสอน
นั้น อุปมาเหมือนใบไม้กำมือเดียวจากใบไม้ในป่าเท่านั้น และในใบไม้กำมือเดียวนั้นมี
เรื่องนรกสวรรค์รวมอยู่ด้วย เรื่องเหล่านี้ปรากฎในคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งชั้นบาลี
อรรถกถาและตำรารุ่นหลังเป็นอันมาก จนคนผู้ทราบประมาณแห่งความรู้ตนไม่อาจ
ปฎิเสธได้
        "อาจจะมีปัญหาว่าการเชื่อถือในลักษณะนี้จะไม่เป็นการเชื่อเพราะอ้างตำราหรือ?
เพราะในกาลามสูตรห้ามมิให้เชื่อโดยอ้างตำรา มิใช่หรือ ?"
         ปัญหาก็จะติดตามมาว่าก็กาลามสูตรเองเล่ามิใช่เป็นตำราด้วยหรือ เมื่อเป็นตำราแม้
กาลามสูตรเองต้องเชื่อไม่ได้ด้วยนะซิ ในที่สุดก็จะเกิดปัญหาวัวพันหลักขึ้นมา
        ในชั้นนี้ขอให้ข้อสังเกตเพียงว่าแหล่งแห่งความเชื่อของคนเรานั้นอาจจำแนกได้ดังนี้
        ๑.ประจักษ์ประมาณคือ เชื่อเพราะได้เห็น ได้ยิน ได้สูดดม ได้ลิ้ม ได้จับต้อง ได้รู้ด้วยตนเอง แล้วจึงเกิดความเชื่อขึ้นมา
        ๒.อนุมานประมาณ รู้ด้วยการอนุมาน คือการคาดคะเนเอาว่าเมื่อเป็นอย่างนี้
ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เช่นเราเคยเห็นควันเกิดจากไฟ ต่อมาเห็นเฉพาะควันไม่เห็นไฟ
ก็อนุมานได้ว่าที่ตรงนั้นต้องมีไฟ เพราะที่ใดมีควันที่นั้นมีไฟ
        ๓.ศัพท์ประมาณคือ การศึกษาจากหลักฐานต่างๆ เช่น ตำรา โบราณคดี เป็นต้น
ให้สังเกตว่าแหล่งแห่งความเชื่อเหล่านี้ไม่ใช่ข้อยุติว่าจะต้องถูกต้องเสมอไปจำเป็นจะต้อง
ใช้ปัญญาเช้าพิจารณาเสียก่อนทั้งนั้น ตามที่ท่านแสดงว่าบุคคลไม่เชื่อด้วยเหตุผล ๑๐ ประการ ซึ่งมักจะแผยแพร่กันแบบไม่ตลอดสายอยู่เสมอนั้นพระพุทธเจ้าทรงมุ่งไปที่
ประเด็นว่า

"ไม่ควรเชื่อเพียงเพราะเป็นตำรา"
        แต่โดยหลักปฎิบัติแล้วให้นำเอาแหล่งแห่งความรู้เหล่านั้นเองไปพินิจพิจารณาด้วย
เหตุผลสติปัญญาจึงจะเชื่อในเรื่องนั้นๆ
        สำหรับบางคนที่อ้างว่าตนไม่รู้ไม่เห็นตนไม่เชื่อนั้น นอกจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว
ข้อที่ไม่ควรลืมว่าการที่บุคคลยอมรับว่าท่านผู้นั้นเป็นพ่อเป็นแม่ของตนเป็นต้นนั้นไม่ได้
เชื่อเพราะเห็นเป็นต้น แต่เชื่อเพราะท่านบอกและคนอื่นบอกว่า คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้กับตนและตนอนุมานเอาจากพฤติกรรมที่ท่านแสดงวิญญาณของแม่
เท่านั้นเพราะอะไร ?
        "เพราะว่าเราไม่ได้รู้เห็นตอนที่ท่านเกิดเรามาด้วยสายตาของเราเองจึงต้องเชื่อด้วย
วิธีที่สองและสาม"
        เรื่องนรกสวรรค์จึงเป็นเหมือนคนที่เคยขึ้นไปยอดเขาหิมาลัยมาเล่าถึงความสวยงาม
ของภูเขาและทิวทัศน์ที่ตนได้เห็นมาบนภูเขาหิมาลัยผู้ฟังทำได้สองประการ คือ
       เชื่อตามที่เขาบอกให้ทราบเพราะเขาไปรู้เห็นมาด้วยตนเอง
        ขึ้นไปดูภูเขาในจุดที่เขาบอกว่าเขาเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้
        "หากปฏิเสธไปเลยว่าเขาโกหกได้ไหม ?"
        "ไม่ได้หรอก" ทำอย่างนี้ก็เสียเชิงวิทยาศาสตร์แย่นะซีเพราะนักวิทยาศาสตร์นั้นเขามี
หลักสำคัญอยู่ว่า "จะไม่ยืนยันหรือปฏิเสธอะไรในเรื่องที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทดสอบ"
        แต่การพิสูจน์ทดสอบอะไรก็ตาม ต้องพิสูจน์ด้วยเครื่องมือและกรรมวิธีเฉพาะเรื่อง
นั้นๆไม่ใช่จะเอากล้องจุลทัศน์ดูไปเสียทุกเรื่อง
        อย่างไรก็ตามเรื่องนรกสวรรค์นั้นเท่าที่พบมาทรงมีวิธีแสดงหลายวิธีคือ
        ๑.แสดงถึงภพหรือภูมิ ที่คนสัตว์จะต้องไปเกิดตามสมควรแก่กรรมของตน เรียกว่า ปรโลก  คือโลกอื่น ตรงกันข้ามกับโลกนี้ที่เรียกว่า อิธโลก
        ๒.แสดงในรูปของกรรมที่บุคคลกระทำแล้วจะนำให้เขาอุบัติในคติภพนั้นๆเช่น ทรงแสดงอานิสงส์ คือผลอันเกิดขึ้นจากการกระทำความดีมีการให้ทาน รักษาศีล มีศรัทธา เมตตา เป็นต้นจะจบลงด้วยคำว่าตายแล้วไปบังเกิดในสุคติหรือทุคติ
หากกระทำตรงกันข้ามหรืออย่างที่รับสั่งปรารภ คน ๔ คนผู้มีการกระทำแตกต่างกัน
ได้ตายไปว่า
คพภเมเก  อุปปชชนติ   นิรยํ ปาปกมโน
สคคํ สุคติโน ยนติ    ปรินิพพนติ  อนาสวา
คนทั้งหลายบางพวกย่อมเกิดในครรภ์   ผู้มีบาปกรรมย่อมเข้าถึงนรก ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติย่อมไปสวรรค์ ท่านผู้ไม่มีอาสวะย่อมปริพพาน
        ๓. ทรงแสดงในรูปของธรรมอันเป็นเหตุให้คนไปบังเกิดในนรกและสวรรค์ เช่น
น หิ ธมโม อธมโม จ อุโภ สมวิปากิโน
อธมโม นิรยํ เนติ  ธมโม ปาเปติ สุคตํ
ธรรมและอธรรมทั้งสอง หามีวิบากเสมอกันไม่ อธรรมนำไปสู่นรก
ธรรมยังบุคคลให้ถึงสุคติ
         ๔.ทรงแสดงในรูปของสรรค์ที่บุคคลจะประสบด้วยการกระทำของตนในปัจจุบัน
เช่นมีฐานะร่ำรวยอยู่เย็นเป็นสุขเป็นสวรรค์ ทำผิดติดคุกประสบความเดือดร้อนเป็นนรก
        ๕.แสดงในรูปของการเป็นเทวดา พรหม สัตว์นรก เปรต ด้วยการการปฏิบัติ
ตามธรรมและอธรรม เช่นเป็นเทวดาเพราะมีหิริ โอตตัปปะ เป็นพรหมเพราะมีพรหม
วิหารเป็นต้น
        ๖.แสดงในรูปของความรู้สึกในด้านจิตใจโดยเฉพาะ เช่นสุขกายสบายใจเป็น
สวรรค์กลัดกลุ้มเดือดร้อนใจเป็นนรก
        สำหรับคนที่ไม่สมัครใจที่จะเชื่อจะด้วยเหตุผลอย่างไรก็ตามให้ยึดหลักการทำ
ความดีเอาไว้ คือ
        หากสวรรค์นรกไม่มีอยู่จริง ตนก็อยู่อย่างไม่มีเวรมีภัยในปัจจุบัน
        หากสวรรค์นรกมีเมื่อตายไปก็จะได้บังเกิดในสวรรค์
        หากกระทำความชั่วแล้วแม้ว่าจะไม่มีนรกสวรรค์ตนก็ได้รับความเดือดร้อนที่เห็น
ในปัจจุบันตายไปหากนรกสวรรค์มีก็ต้องตกนรก
        การทำความดีในปัจจุบันอย่างน้อยที่สุดจะได้รับความสุขในโลกนี้ เมื่อมีนรกสวรรค์
ในโลกหน้าก็จะได้บังเกิดในสวรรค์อีกเป็นการได้ถึงสองชาติ แต่ผู้ทำความชั่วกลับตรงกัน
ข้ามคือต้องเดือดร้อนในโลกนี้เป็นอย่างน้อย หากนรกสวรรค์เกิดมีเข้าก็เดือดร้อน
ทั้งสองโลก
        วิธีการแสดงเรื่องนรกสวรรค์ตามที่กล่าวมานี้จะพบว่าผลจะออกมาในลักษณะเดียว
กัน ใครจะเชื่อในระดับใดก็ตาม หากต้องการความสุขก็ต้องทำดีหนีความชั่ว ผลจะเกิด
ขึ้น ให้พิสูจน์ได้ทั้งในปัจจุบันและด้วยญาณของท่านผู้รู้
        ให้สังเกตว่าการตกนรกหรือขึ้นสวรรค์นั้นเป็นการใช้คำว่า ตก และขึ้นแห่งระดับจิต
ของบุคคลคือยกจิตจากกระแสอธรรม และขึ้นสู่กระแสธรรมเมื่อจับจุดนี้ได้แล้ว
ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์หรือถกเถียงกันให้เสียเวลา เพราะถึงจุดหนึ่งแล้วตนจะรู้เองขอเพียง
ยึดมั่นในการยกระดับจิตของตนให้สูงไว้ก็พอแล้ว การจะทราบชัดในเรื่องนี้ได้จริงๆ
นั้นนอกจากทราบด้วย "ญาณ"ดังกล่าวแล้วอีกวิธีหนึ่งคือ
        "จะทราบชัดด้วยตนเอง เมื่อตนตายไปแล้ว"
        การรอคอยพิสูจน์วิธีนี้หากทำความดีไว้ก็ไม่เสียหายแต่ถ้าทำความชั่วมากๆก็ออกจะ
เสี่ยงเอาการทีเดียวทางที่ดีแล้วคือ
        "เพียรพยายามสร้างความดีในปัจจุบันให้มากๆไว้เป็นการปลอดภัยที่สุด"
        สำหรับประเด็นที่ว่า "ไม่ใช่เป็นเครื่องมือนักเผยแผ่หรือ" นั้น ออกจะเป็นการกล่าว
หาที่ไร้เหตุผลเอามากที่เดียว "ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนั้น?"
        เพราะว่าเรื่องนรกสวรรค์นี้เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านรู้เห็นด้วย
ญาณและได้แสดงแก่ชนทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นเรื่องควรรู้ควรเห็นประการหนึ่ง พระ
พุทธเจ้านั้นทรงแสดงเรื่องนี้ด้วยพระมหากรุณาแก่สัตว์โลกพระทัยที่เต็มเปี่ยมด้วย
พระบริสุทธิคุณไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของพระองค์ แต่ทรงทำเพื่อประโยชน์
เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่สรรพสัตว์ พระอรหันต์ทั้งหลายก็มีนัยเดียวกัน
        พระสงฆ์ที่ทำงานเผยแผ่นั้นท่านไม่มีความรู้อะไรเป็นส่วนตัวของท่าน แต่ท่านรู้เพราะ
การได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านทำงานไปตามหน้าที่ของ
ท่านที่กำหนดไว้ว่า
        "พระสงฆ์คือหมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระ
พุทธเจ้าและสอนบุคคลอื่นให้ปฏิบัติตามด้วย"
        หากจะถามว่าปฏิบัติตามซึ่งอะไร ?
        คำตอบคือปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า เวลาพระเทศน์ทุกครั้งจึงมีคำว่า "บัดนี้จะแสดงพระธรรมเทศนาพรรณนาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า"ก่อนทุกครั้ง เพื่อบอก
ให้ทราบว่าที่กล่าวต่อไปนี้ไม่ใช่คำสอนของท่านนะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
พระสงฆ์จึงทำหน้าที่เป็นเหมือนราชทูตอ่านพระสาส์น และในการสอนนี้เองมีหน้าที่ซึ่ง
กำหนดไว้ว่าเป็นหน้าที่ของพระ คือ    "บอกทางสวรรค์ให้แก่ชาวบ้าน"
        ที่ว่าเป็นเครื่องมือจึงไม่ทราบว่าเป็นเครื่องมือในทางแสวงหาผลประโยชน์จากอะไร
เพราะถ้าเรื่องนี้นักเผยแผ่สร้างขึ้นมาเอง
        นักเผยแผ่ก็กล่าวมุสาอันเป็นเหตุอย่างหนึ่งให้ตนตกนรกนักเผยแผ่ไม่กลัวนรกหรือ ?
ที่ไม่ควรลืมคือเรื่องนรกสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่จะต้องรู้ได้ชัดด้วย จุตูปปาตญาณ หรือทิพยจักษุ
การอธิบายเรื่องนรกสวรรค์ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆ ใครจะเอาเรื่องอธิบายยากมาสอน
ให้ลำบากเล่า ในเมื่อเรื่องง่ายๆมีมากมายก่ายกองอธิบายเรื่องนั้นๆไม่ดีกว่าหรือ ?