๒๕.ผู้ทำบาปเองก็เศร้าหมองเอง
มีพระพุทธพจน์ตรัสไว้อย่างนี้
ถ้าตนไม่ทำแต่ใช้ให้เขาทำบาปอย่างนี้ผิดหรือไม่
ถ้าผิดไม่แย้ง
กับข้อความข้างต้นหรือ ?
ผิดและไม่แย้งกับข้อความข้างต้นแต่ประการใดที่เป็นเช่นนี้เพราะเหตุไร
? เพราะว่า
กรรม คือ เจตนา ที่บุคคลกระทำลงไปนั้น ย่อมเป็นได้ทั้งทางกาย
วาจา ใจ แต่ละอย่าง
เมื่อบุคคลกระทำลงไปย่อมเป็นผลให้เกิดเป็นบาป บุญ
ตามสมควรแก่กรรมทั้งนั้น คนไทยโบราณท่านกล่าวไว้ให้คิดว่า
"บาปคนทำ
กรรมคนใช้ "
การตัดสินว่าบาปหรือไม่บาปนั้น
ท่านให้ดูที่เจตนาว่าประกอบด้วยกลุ่มกิเลสสาย
โลภะ โทสะ โมหะ อย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่ หากประกอบด้วยกิเลส
๓ กลุ่มนี้ อย่างใด
อย่างหนึ่งไม่ว่าจะเป็นการกระทำด้วยกาย วาจา หรือแม้จะคิดด้วยใจก็ตามท่านถือว่า
เป็นบาปทั้งนั้น
ด้วยหลักนี้ทำให้เราพบว่า
แม้กฎหมายท่านก็ลงโทษทั้งคนทำเองและคนใช้จ้างวาน
ให้ทำเพราะว่าผิดกฎหมายเหมือนกัน เรื่องบาปก็เช่นนั้น
หากใช้คนอื่นทำสิ่งที่เป็นบาป
ตนก็ได้รับบาปนั้นด้วยใช้ให้เขาทำสิ่งที่เป็นบุญตนก็ได้บุญด้วย.
๒๖.ศีลทำให้คนมีโภคสมบัติจริงหรือไม่
ถ้าจริงชาวประมงไม่มี
ศีล แต่ทำไมถึงรวย ?
พระพุทธเจ้าทรงแสดงอานิสงส์คือผลอันเกิดขึ้นจากการรักษาศีลไว้ในมหาปริพพาน
สูตรก่อนกาลปรินิพพานของพระองค์ว่า ศีลที่บุคคลรักษาสำรวมระวังดีแล้วย่อมได้รับ
อานิสงส์ ๕ ประการ คือ
๑. ย่อมได้ลาภโภคสมบัติเป็นอันมาก
๒.
กิตติศัพท์อันดีงามย่อมฟุ้งขจรไปในที่ทั้งปวง
๓.
เมื่อไปในท่ามกลางชุมนุมชนใดก็ตามไม่สะทกสะท้านหวั่นไหว
๔.
ไม่หลงทำกาลกริยาคือตายอย่างมีสติ
๕.
หลังจากตายไปแล้วย่อมบังเกิดในสุคติโลกสวรรค์
ชาวพุทธทั่วไปมักจะได้ยินคำกล่าวของพระเวลาให้ศีลท่านจะจบลงด้วยคำว่า
"ศีลย่อมนำไปสู่สุคติ
ศีลให้บุคคลถึงพร้อมด้วยโภคสมบัติ ศีลย่อมนำไปสู่นิพพาน
เพราะเหตุนั้นจงชำระศีลให้บริบูรณ์"
ข้อความเหล่านี้เป็นหลักฐานที่เป็นพระพุทธดำรัส
แต่บุคคลอาจสังเกตพบด้วยตนเอง
ว่าใครก็ตามที่ดำรงชีวิตอยู่ด้วยการละเมิดศีล ถูก
เขาอาจจะร่ำรวยได้ในบางโอกาส
แต่หากลองติดตามดูวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของเขาเหล่านั้นจะพบว่า
มักจะฉิบหายไป
เพราะอันตรายในด้านต่างๆ ตรงกันข้าม กับทรัพย์สมบัติที่เกิดขึ้นแก่ผู้มีศีลอาจจะเป็น
การค่อยๆเจริญขึ้น แต่เป็นความเจริญเติบโตอย่างมีสัดส่วนแบบธรรมชาติทั้งหลาย
ทรัพย์สมบัติเหล่านั้นจะไม่ฉิบหายไปเพราะอันตรายต่างๆ
เรื่องอานิสงส์ศีลส่วนนี้
จะเกิดความเข้าใจได้ดี ต้องอาศัย
การสังเกตพิจารณาบุคคลผู้มีศีลเป็นรายๆไป
การประจักษ์ด้วยตนเองเมื่อตนเป็นผู้มีศีล
การได้ความสุขใจอันเกิดขึ้นจากการทำงานที่ปราศจากโทษ
นอกจากนั้นศีลที่บุคคลรักษาดีแล้วนั้นย่อมนำไปสู่ความมีอริยทรัพย์คือทรัพย์ที่
ประเสริฐเพราะสามารถนำติดตนไปได้ ในกาล สถานที่
คติ ภพทั้งปวง คือ
"ทรัพย์คือศรัทธา
ทรัพย์คือศีล ทรัพย์คือหิริ ทรัพย์คือโอตตัปปะ ทรัพย์คือ พาหุสัจจะ
ทรัพย์คือจาคะ ทรัพย์คือปัญญา"
คำว่าทรัพย์คือสิ่งที่นำความปลื้มใจมาให้
จะพบว่าทรัพย์ภายนอกนั้นให้ความปลื้มใจ
ที่แฝงไว้ด้วยความวิตกกังวลห่วงใย หวาดหวั่น แต่ทรัพย์คือศีลนั้นให้ความสุขกาย
สบายใจที่ถาวร ยืนนาน ข้ามภพ ข้ามชาติได้ ศีลจึงเป็นทางให้เกิดโภคทรัพย์ในระดับ
ต่างๆดังนี้ ส่วนชาวประมงนั้นศีลไม่ได้มีเฉพาะข้อปาณาติบาตเมื่อไรเล่าศีลข้ออื่น
เขาไม่เสียนี่ เมื่อเขาขยันทำงานก็ย่อมได้เงินเป็นธรรมดา.
๒๗.นรก สวรรค์มีจริงหรือไม่
ไม่ใช่เป็นเครื่องมือของนักเผย
แผ่หรือ?
เรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องที่ท่านได้บรรลุญาณที่เรียกว่า
จุตูปปาตญาณคือญาณที่ทำ
ให้ทราบการเกิดความแตกต่างของสัตว์ทั้งหลาย ว่ามีได้เพราะอะไร
ท่านเห็นความมี
อยู่ของนรกสวรรค์ด้วย ทิพพจักขุ
คือตาทิพย์ซึ่งความรู้เหล่านี้จะเกิดขึ้นก็ต้องได้อภิญญา
ซึ่งแปลว่าความรู้อันยิ่ง ไม่ใช่วิสัยของคนธรรมดาจะรู้ได้เหมือนกับการรับภาพในอากาศ
การฟังเสียงจากที่ไกลเป็นวิสัยของเครื่องรับโทรทัศน์และวิทยุตามลำดับปัจจุบันใครๆ
ไม่อาจปฎิเสธว่าในบรรยากาศมีเสียงกล่าวถึงเรื่องต่างๆจากภายในประเทศบ้าง
ภายนอกประเทศบ้าง แต่ถ้าเขาไม่มีวิทยุเขาก็ไม่อาจจะทราบเสียงนั้นได้เมื่อต้องการ
จะทราบฉันใดเรื่องนรกสวรรค์ก็มีลักษณะฉันนั้น
การถกเถียงในปัจจุบันนี้เป็นเรื่องของคนที่ถกเถียงรสว่าอร่อยไม่อร่อยด้วยหู
แทนที่จะพิสูจน์ด้วยลิ้น
ซึ่งเถียงกันอย่างไรก็ได้แต่หาข้อยุติไม่ได้เรื่องนรกสวรรค์ก็เหมือน
กันการรู้ การเห็นนรกสวรรค์เป็นวิสัยของญาณและทิพย์จักษุ
เมื่อไม่มีเครื่องมือ
สองประเภทนี้ ก็ต้องเถียงกันด้วยโวหารที่ไม่มีทางจบสิ้นเป็นการเสียเวลาโดยไม่เกิด
ประโยชน์อะไรเลย ที่สำคัญคือเรื่องนรกสวรรค์เป็นเรื่องของผลแห่งกรรมอันถือว่าเป็น
อจินไตย คือไม่อาจรู้ได้ด้วยการคิดเอาแต่จะทราบได้ด้วยการลงมือปฎิบัติเหมือน
การทราบชัดรสอาหารด้วยการบริโภคฉะนั้น
เมื่อเป็นเช่นนี้เราควรจับหลักอะไร ?
ก็ต้องอาศัยตถาคตโพธิสัทธาคือเชื่อพระปัญญาการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า
เพราะ
เรื่องนี้ พระองค์ทรงรู้ เมื่อพระองค์ตรัสรู้แล้วหาได้รู้เมื่อยังครองเรือนอยู่ไม่
พระพุทธเจ้า
นั้นทรงมีหลักในการสอนธรรม ๓ ประการข้อที่เกี่ยวกับเรื่องนี้คือ
"ทรงแสดงธรรมเพื่อให้ผู้ฟังรู้ยิ่งเห็นจริงในสิ่งที่เขาควรรู้ควรเห็น"
ในเรื่องที่ทรงแสดงนั้นมีเรื่องนรกสวรรค์อยู่ด้วย
แสดงว่าเรื่องนี้ควรรู้ควรเห็น
เพราะสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงรู้นั้นมีมากมายสุดจะนับจะประมาณได้
แต่ข้อที่นำมาสั่งสอน
นั้น อุปมาเหมือนใบไม้กำมือเดียวจากใบไม้ในป่าเท่านั้น
และในใบไม้กำมือเดียวนั้นมี
เรื่องนรกสวรรค์รวมอยู่ด้วย
เรื่องเหล่านี้ปรากฎในคัมภีร์พระพุทธศาสนาทั้งชั้นบาลี
อรรถกถาและตำรารุ่นหลังเป็นอันมาก จนคนผู้ทราบประมาณแห่งความรู้ตนไม่อาจ
ปฎิเสธได้
"อาจจะมีปัญหาว่าการเชื่อถือในลักษณะนี้จะไม่เป็นการเชื่อเพราะอ้างตำราหรือ?
เพราะในกาลามสูตรห้ามมิให้เชื่อโดยอ้างตำรา มิใช่หรือ
?"
ปัญหาก็จะติดตามมาว่าก็กาลามสูตรเองเล่ามิใช่เป็นตำราด้วยหรือ เมื่อเป็นตำราแม้
กาลามสูตรเองต้องเชื่อไม่ได้ด้วยนะซิ ในที่สุดก็จะเกิดปัญหาวัวพันหลักขึ้นมา
ในชั้นนี้ขอให้ข้อสังเกตเพียงว่าแหล่งแห่งความเชื่อของคนเรานั้นอาจจำแนกได้ดังนี้
๑.ประจักษ์ประมาณคือ
เชื่อเพราะได้เห็น ได้ยิน ได้สูดดม ได้ลิ้ม ได้จับต้อง ได้รู้ด้วยตนเอง แล้วจึงเกิดความเชื่อขึ้นมา
๒.อนุมานประมาณ
รู้ด้วยการอนุมาน คือการคาดคะเนเอาว่าเมื่อเป็นอย่างนี้
ก็ต้องเป็นอย่างนั้น เช่นเราเคยเห็นควันเกิดจากไฟ
ต่อมาเห็นเฉพาะควันไม่เห็นไฟ
ก็อนุมานได้ว่าที่ตรงนั้นต้องมีไฟ เพราะที่ใดมีควันที่นั้นมีไฟ
๓.ศัพท์ประมาณคือ
การศึกษาจากหลักฐานต่างๆ เช่น ตำรา โบราณคดี เป็นต้น
ให้สังเกตว่าแหล่งแห่งความเชื่อเหล่านี้ไม่ใช่ข้อยุติว่าจะต้องถูกต้องเสมอไปจำเป็นจะต้อง
ใช้ปัญญาเช้าพิจารณาเสียก่อนทั้งนั้น ตามที่ท่านแสดงว่าบุคคลไม่เชื่อด้วยเหตุผล
๑๐ ประการ ซึ่งมักจะแผยแพร่กันแบบไม่ตลอดสายอยู่เสมอนั้นพระพุทธเจ้าทรงมุ่งไปที่
ประเด็นว่า
"ไม่ควรเชื่อเพียงเพราะเป็นตำรา"
แต่โดยหลักปฎิบัติแล้วให้นำเอาแหล่งแห่งความรู้เหล่านั้นเองไปพินิจพิจารณาด้วย
เหตุผลสติปัญญาจึงจะเชื่อในเรื่องนั้นๆ
สำหรับบางคนที่อ้างว่าตนไม่รู้ไม่เห็นตนไม่เชื่อนั้น
นอกจากเหตุผลที่กล่าวมาแล้ว
ข้อที่ไม่ควรลืมว่าการที่บุคคลยอมรับว่าท่านผู้นั้นเป็นพ่อเป็นแม่ของตนเป็นต้นนั้นไม่ได้
เชื่อเพราะเห็นเป็นต้น แต่เชื่อเพราะท่านบอกและคนอื่นบอกว่า
คนนั้นเป็นอย่างนั้น คนนี้เป็นอย่างนี้กับตนและตนอนุมานเอาจากพฤติกรรมที่ท่านแสดงวิญญาณของแม่
เท่านั้นเพราะอะไร ?
"เพราะว่าเราไม่ได้รู้เห็นตอนที่ท่านเกิดเรามาด้วยสายตาของเราเองจึงต้องเชื่อด้วย
วิธีที่สองและสาม"
เรื่องนรกสวรรค์จึงเป็นเหมือนคนที่เคยขึ้นไปยอดเขาหิมาลัยมาเล่าถึงความสวยงาม
ของภูเขาและทิวทัศน์ที่ตนได้เห็นมาบนภูเขาหิมาลัยผู้ฟังทำได้สองประการ
คือ
เชื่อตามที่เขาบอกให้ทราบเพราะเขาไปรู้เห็นมาด้วยตนเอง
ขึ้นไปดูภูเขาในจุดที่เขาบอกว่าเขาเห็นสิ่งนั้นสิ่งนี้
"หากปฏิเสธไปเลยว่าเขาโกหกได้ไหม
?"
"ไม่ได้หรอก"
ทำอย่างนี้ก็เสียเชิงวิทยาศาสตร์แย่นะซีเพราะนักวิทยาศาสตร์นั้นเขามี
หลักสำคัญอยู่ว่า "จะไม่ยืนยันหรือปฏิเสธอะไรในเรื่องที่ยังไม่มีการพิสูจน์ทดสอบ"
แต่การพิสูจน์ทดสอบอะไรก็ตาม
ต้องพิสูจน์ด้วยเครื่องมือและกรรมวิธีเฉพาะเรื่อง
นั้นๆไม่ใช่จะเอากล้องจุลทัศน์ดูไปเสียทุกเรื่อง
อย่างไรก็ตามเรื่องนรกสวรรค์นั้นเท่าที่พบมาทรงมีวิธีแสดงหลายวิธีคือ
๑.แสดงถึงภพหรือภูมิ
ที่คนสัตว์จะต้องไปเกิดตามสมควรแก่กรรมของตน เรียกว่า ปรโลก คือโลกอื่น
ตรงกันข้ามกับโลกนี้ที่เรียกว่า อิธโลก
๒.แสดงในรูปของกรรมที่บุคคลกระทำแล้วจะนำให้เขาอุบัติในคติภพนั้นๆเช่น
ทรงแสดงอานิสงส์ คือผลอันเกิดขึ้นจากการกระทำความดีมีการให้ทาน รักษาศีล มีศรัทธา
เมตตา เป็นต้นจะจบลงด้วยคำว่าตายแล้วไปบังเกิดในสุคติหรือทุคติ
หากกระทำตรงกันข้ามหรืออย่างที่รับสั่งปรารภ คน
๔ คนผู้มีการกระทำแตกต่างกัน
ได้ตายไปว่า
คพภเมเก อุปปชชนติ นิรยํ
ปาปกมโน
สคคํ สุคติโน ยนติ ปรินิพพนติ
อนาสวา
คนทั้งหลายบางพวกย่อมเกิดในครรภ์
ผู้มีบาปกรรมย่อมเข้าถึงนรก ผู้มีกรรมเป็นเหตุแห่งสุคติย่อมไปสวรรค์ ท่านผู้ไม่มีอาสวะย่อมปริพพาน
๓. ทรงแสดงในรูปของธรรมอันเป็นเหตุให้คนไปบังเกิดในนรกและสวรรค์
เช่น
น หิ ธมโม อธมโม จ อุโภ สมวิปากิโน
อธมโม นิรยํ เนติ ธมโม ปาเปติ สุคตํ
ธรรมและอธรรมทั้งสอง หามีวิบากเสมอกันไม่ อธรรมนำไปสู่นรก
ธรรมยังบุคคลให้ถึงสุคติ
๔.ทรงแสดงในรูปของสรรค์ที่บุคคลจะประสบด้วยการกระทำของตนในปัจจุบัน
เช่นมีฐานะร่ำรวยอยู่เย็นเป็นสุขเป็นสวรรค์ ทำผิดติดคุกประสบความเดือดร้อนเป็นนรก
๕.แสดงในรูปของการเป็นเทวดา
พรหม สัตว์นรก เปรต ด้วยการการปฏิบัติ
ตามธรรมและอธรรม เช่นเป็นเทวดาเพราะมีหิริ โอตตัปปะ
เป็นพรหมเพราะมีพรหม
วิหารเป็นต้น
๖.แสดงในรูปของความรู้สึกในด้านจิตใจโดยเฉพาะ
เช่นสุขกายสบายใจเป็น
สวรรค์กลัดกลุ้มเดือดร้อนใจเป็นนรก
สำหรับคนที่ไม่สมัครใจที่จะเชื่อจะด้วยเหตุผลอย่างไรก็ตามให้ยึดหลักการทำ
ความดีเอาไว้ คือ
หากสวรรค์นรกไม่มีอยู่จริง ตนก็อยู่อย่างไม่มีเวรมีภัยในปัจจุบัน
หากสวรรค์นรกมีเมื่อตายไปก็จะได้บังเกิดในสวรรค์
หากกระทำความชั่วแล้วแม้ว่าจะไม่มีนรกสวรรค์ตนก็ได้รับความเดือดร้อนที่เห็น
ในปัจจุบันตายไปหากนรกสวรรค์มีก็ต้องตกนรก
การทำความดีในปัจจุบันอย่างน้อยที่สุดจะได้รับความสุขในโลกนี้
เมื่อมีนรกสวรรค์
ในโลกหน้าก็จะได้บังเกิดในสวรรค์อีกเป็นการได้ถึงสองชาติ
แต่ผู้ทำความชั่วกลับตรงกัน
ข้ามคือต้องเดือดร้อนในโลกนี้เป็นอย่างน้อย หากนรกสวรรค์เกิดมีเข้าก็เดือดร้อน
ทั้งสองโลก
วิธีการแสดงเรื่องนรกสวรรค์ตามที่กล่าวมานี้จะพบว่าผลจะออกมาในลักษณะเดียว
กัน ใครจะเชื่อในระดับใดก็ตาม หากต้องการความสุขก็ต้องทำดีหนีความชั่ว
ผลจะเกิด
ขึ้น ให้พิสูจน์ได้ทั้งในปัจจุบันและด้วยญาณของท่านผู้รู้
ให้สังเกตว่าการตกนรกหรือขึ้นสวรรค์นั้นเป็นการใช้คำว่า
ตก และขึ้นแห่งระดับจิต
ของบุคคลคือยกจิตจากกระแสอธรรม และขึ้นสู่กระแสธรรมเมื่อจับจุดนี้ได้แล้ว
ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์หรือถกเถียงกันให้เสียเวลา
เพราะถึงจุดหนึ่งแล้วตนจะรู้เองขอเพียง
ยึดมั่นในการยกระดับจิตของตนให้สูงไว้ก็พอแล้ว
การจะทราบชัดในเรื่องนี้ได้จริงๆ
นั้นนอกจากทราบด้วย "ญาณ"ดังกล่าวแล้วอีกวิธีหนึ่งคือ
"จะทราบชัดด้วยตนเอง
เมื่อตนตายไปแล้ว"
การรอคอยพิสูจน์วิธีนี้หากทำความดีไว้ก็ไม่เสียหายแต่ถ้าทำความชั่วมากๆก็ออกจะ
เสี่ยงเอาการทีเดียวทางที่ดีแล้วคือ
"เพียรพยายามสร้างความดีในปัจจุบันให้มากๆไว้เป็นการปลอดภัยที่สุด"
สำหรับประเด็นที่ว่า
"ไม่ใช่เป็นเครื่องมือนักเผยแผ่หรือ" นั้น ออกจะเป็นการกล่าว
หาที่ไร้เหตุผลเอามากที่เดียว "ทำไมถึงได้กล่าวเช่นนั้น?"
เพราะว่าเรื่องนรกสวรรค์นี้เป็นเรื่องที่พระพุทธเจ้าพระอรหันต์ทั้งหลายท่านรู้เห็นด้วย
ญาณและได้แสดงแก่ชนทั้งหลาย ในฐานะที่เป็นเรื่องควรรู้ควรเห็นประการหนึ่ง
พระ
พุทธเจ้านั้นทรงแสดงเรื่องนี้ด้วยพระมหากรุณาแก่สัตว์โลกพระทัยที่เต็มเปี่ยมด้วย
พระบริสุทธิคุณไม่ใช่เป็นการกระทำเพื่อประโยชน์ของพระองค์
แต่ทรงทำเพื่อประโยชน์
เพื่อเกื้อกูล เพื่อความสุข แก่สรรพสัตว์ พระอรหันต์ทั้งหลายก็มีนัยเดียวกัน
พระสงฆ์ที่ทำงานเผยแผ่นั้นท่านไม่มีความรู้อะไรเป็นส่วนตัวของท่าน
แต่ท่านรู้เพราะ
การได้ศึกษาพระธรรมคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านทำงานไปตามหน้าที่ของ
ท่านที่กำหนดไว้ว่า
"พระสงฆ์คือหมู่ชนที่ฟังคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าแล้วปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระ
พุทธเจ้าและสอนบุคคลอื่นให้ปฏิบัติตามด้วย"
หากจะถามว่าปฏิบัติตามซึ่งอะไร
?
คำตอบคือปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า
เวลาพระเทศน์ทุกครั้งจึงมีคำว่า "บัดนี้จะแสดงพระธรรมเทศนาพรรณนาคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า"ก่อนทุกครั้ง
เพื่อบอก
ให้ทราบว่าที่กล่าวต่อไปนี้ไม่ใช่คำสอนของท่านนะเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า
พระสงฆ์จึงทำหน้าที่เป็นเหมือนราชทูตอ่านพระสาส์น
และในการสอนนี้เองมีหน้าที่ซึ่ง
กำหนดไว้ว่าเป็นหน้าที่ของพระ คือ
"บอกทางสวรรค์ให้แก่ชาวบ้าน"
ที่ว่าเป็นเครื่องมือจึงไม่ทราบว่าเป็นเครื่องมือในทางแสวงหาผลประโยชน์จากอะไร
เพราะถ้าเรื่องนี้นักเผยแผ่สร้างขึ้นมาเอง
นักเผยแผ่ก็กล่าวมุสาอันเป็นเหตุอย่างหนึ่งให้ตนตกนรกนักเผยแผ่ไม่กลัวนรกหรือ
?
ที่ไม่ควรลืมคือเรื่องนรกสวรรค์นั้นเป็นเรื่องที่จะต้องรู้ได้ชัดด้วย
จุตูปปาตญาณ หรือทิพยจักษุ
การอธิบายเรื่องนรกสวรรค์ไม่ใช่เป็นเรื่องง่ายๆ
ใครจะเอาเรื่องอธิบายยากมาสอน
ให้ลำบากเล่า ในเมื่อเรื่องง่ายๆมีมากมายก่ายกองอธิบายเรื่องนั้นๆไม่ดีกว่าหรือ
?