๒๙.วิญญาณมีจริงหรือไม่ บางคนเข้าใจว่า
ไม่มีลองค้นคว้าทาง
วัตถุแล้วก็ไม่พบด้วยประสาททั้ง
๕ จึงว่าเป็นเรื่องไร้สาระ
พระพุทธศาสนาแสดงเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไร
?
ก่อนปฏิเสธหรือยืนยันเรื่องอะไร
จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทราบว่า"สิ่งที่เรากำลังพูด
ถึงนั้น คืออะไร?"
เรื่องของวิญญาณก็ทำนองเดียวกัน เนื่องจากคำนี้เป็นคำทางศาสนาก็ควรทราบว่าทาง
พระพุทธศาสนาแสดงเรื่องนี้ไว้ว่าอย่างไรให้ได้เสียก่อน
แล้วจึงจะพูดในประเด็นที่ว่ามี
หรือไม่ วิญญาณแปลว่าความรู้อารมณ์พิเศษทั้งหลาย
ท่านแสดงว่าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น
จากเหตุปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน เมื่อแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆมีอยู่
๓ ประเภทด้วยกัน คือ
ก.วิญญาณขันธ์
แปลว่ากองแห่งวิญญาณแบ่งออกเป็น
๖ ประเภท เรียกชื่อตาม
ที่เกิดแห่งวิญญาณนั้นๆว่าจักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ
ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ และมโนวิญญาณ
จักขุวิญญาณ
แปลว่าความรู้ที่เกิดขึ้นทางตาองค์ประกอบที่ทำให้เกิดวิญญาณนี้คือ
ตา รูป แสงสว่าง ความสนใจ องค์ประกอบเหล่านี้ขาดไปเพียงอย่างเดียววิญญาณทางตา
จะไม่สมบูรณ์ แม้วิญญาณข้ออื่นๆก็มีลักษณะเช่นเดียวกัน
เปลี่ยนแต่องค์ประกอบบาง
อย่าง ส่วนข้อสุดท้ายเหมือนกันคือต้องมีความสนใจที่ท่านเรียกว่า
มนสิการ
ส่วนคำแปลชื่อต่อไปนั้นท่านแปลว่า
ความรู้ทางหู ความรู้ทางจมูก ความรู้ทางลิ้น ความรู้ทางกาย และความรู้ทางใจ
ตามลำดับ
ข.ปฏิสนธิวิญญาณ
คือวิญญาณตามองค์ปฏิจจสมุปบาทท่านบอกว่าเป็นตัวไป
ถือปฏิสนธิในกำเนิดทั้ง ๔ คือ เกิดในครรภ์ เกิดในไข่
เกิดในสิ่งสกปรก และเกิดโดย
ผุดขึ้นในกำเนิดใดกำเนิดหนึ่งตามอำนาจของกรรม องค์ประกอบแห่งวิญญาณนี้
คือ อวิชชา หรือกิเลส สังขาร คือกรรม หากไม่มี กิเลส กับกรรม วิญญาณ
นี้ก็เกิดไม่ได้
ค.วิญญาณธาตุ
เป็นธาตุอย่างหนึ่งในธาตุ
๖ ประการที่มีอยู่ในตัวคนตามนัย
แห่งพระพุทธภาษิตที่ว่า "ฉ ธาตุโย ปุริโส" แปลว่าบุรุษนี้มีธาตุ
๖ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ และวิญญาณ องค์ประกอบให้วิญญาณส่วนนี้ดำรงอยู่
คือ กิเลส และกรรม เช่นเดียวกันแต่ท่านเรียกว่า อาสวะ และบารมี คือความชั่วและความดีพร้อมด้วย
กิเลสที่บุคคลเก็บสร้างสมไว้ในชาติก่อนและชาติปัจจุบัน
ซึ่งมีประมาณมากน้อยแห่ง อาสวะและบารมีมีส่วนอย่างสำคัญในการกำหนดบทบาทและวิถีชีวิตของคน
วิญญาณเท่าที่พบในหลักธรรมทางพระพุทธศาสนามีเพียง
๓ ประการเท่านั้น ส่วนวิญญาณที่พูดกันว่า "เชิญวิญญาณของคนนั้นคนนี้มาเข้าทรงนั้น"
ไม่เคยพบที่มา
ในชั้นบาลีวิญญาณทั้ง ๓ ประเภทนี้จึงเป็นอาการของจิต
แต่เมื่อทำหน้าที่รู้รูปเป็นต้นท่าน
เรียกวิญญาณตามชื่อของอายตนะที่ทำหน้าที่รู้ว่า
จักขุวิญญาณเป็นต้นตัวที่ทำหน้าที่
ที่รู้จริงๆ จึงเป็นจิต ตา หู จมูก ลิ้น กาย มโน
ท่านจึงเรียกในที่บางแห่งว่า ทวาร หมายถึงประตู ที่ผ่านของรูปเสียง กลิ่น
รส โผฏฐัพพะอารมณ์ทั้ง ๕ นี้จึงเหมือนน้ำ
ที่ไหลจากที่สูง ตกลงไปขังอยู่ในที่ราบลุ่มอันเปรียบเหมือนจิต
ที่ว่าลองค้นคว้าทางวัตถุแล้วแต่ไม่อาจทราบได้ด้วยประสาททั้ง
๕ นั้น จึงอาจเป็น
ไปได้ ๒ ประการ คือ
ประการแรก
ไม่ทราบวิญญาณนั้น คืออะไร
ประการที่สอง
ตัวทำหน้าที่รู้จริงๆคือจิต การรู้วิญญาณ จึงเป็นงานของประสาทที่ ๖
ปฏิสนธิวิญญาณเป็นเรื่องที่ยากแก่การเข้าใจมากเพราะเป็นขบวนการทางปฏิจจ
สมุปบาท พระพุทธเจ้าเองทรงตรัสรู้แล้วได้พิจารณากลับไปกลับมาถึง
๗ วัน ที่น่า
สังเกตคือตอนดับท่านเรียกว่า จุติจิต ตอนที่ปฏิสนธิท่านเรียกว่า
ปฏิสนธิวิญญาณ
ฝ่ายอากาศธาตุ กับวิญญาณธาตุในธาตุ ๖ นั้น ให้สังเกตว่าในชั้นแรก
ท่านสอนให้รู้เพียง ดิน น้ำ ลม ไฟ เมื่อผ่านรูปฌานไปแล้วจึงเริ่มสอนให้เรียนรู้เรื่อง
อากาศ กับวิญญาณ
ในชิงปริยัติแล้วเรื่องของวิญญาณไม่ยากที่จะเข้าใจ
แต่ความรู้ความเข้าใจวิญญาณที่
ถูกต้องสมบูรณ์นั้นจะต้องดำเนินไปในวิถีทางแห่งการปฏิบัติ
เมื่อสมัครใจพิสูจน์ต้องพิสูจน์ด้วยเครื่องมือและกรรมวิธีตามที่ท่านได้แสดงเอา
ไว้โดยไม่พยายามพิสูจน์รสอาหารด้วยตาเพราะทำอย่างไรก็ไม่อาจรู้ได้อย่างแท้จริง.