๔๐.พระบวชแล้วก็สึก ทั้งมีการสะสมสมบัติและไม่ทำมาหากิน
อะไร เกาะกินแต่ชาวบ้านจริงไหม?
เรื่องนี้จะจริงหรือไม่จริงนั้น
ทุกคนมีสิทธิจะคิดจะพูดกันได้ แต่หลักความจริงก็คือ
ความจริงที่วิญญูชนพิจารณาแล้วอาจเกิดความเข้าใจได้ไม่ยากนัก
ในกรณีของการบวชแล้วสึกนั้นเป็นการแสดงให้เห็นจุดเด่นในพระพุทธศาสนาหลาย
ประการ เช่น
๑.พระพุทธศาสนาเป็นเสรีนิยม
คือคนเราเมื่อมีศรัทธาจะบวชก็บวชได้หากไม่
เป็นคน ต้องห้ามตามพระวินัย เมื่อศรัทธาหย่อนลงไปหรือด้วยเหตุผลอย่างไรก็ตาม
ปรารถนาจะสึกออกไปก็ชอบที่จะทำได้ไม่มีการบังคับ
วันหลังเกิดศรัทธาจะบวชอีกก็ทำ
ได้อีกไม่มีการห้ามแต่ประการใด
๒.เป็นเรื่องโครงสร้างทางสังคมไทย
คือคนไทยนิยมว่าลูกผู้ชายทุกคนควรออก
บวชจะมากหรือน้อยก็ตาม ยิ่งสมัยโบราณถือกันเคร่งครัดมาก
แม้จะแต่งงาน รับราชการ ต้องผ่านการบวชมาเสียก่อน ค่านิยมแบบนี้มีเฉพาะประเทศไทย
ลาว เขมร เท่านั้น
๓.การบวชและสึกเป็นเรื่องของระบบขับถ่าย
อันแสดงถึงความมีชีวิตของ
สิ่งนั้นๆ เมื่อธรรมเนียมไทยมีเช่นนี้ ผู้บวชแล้วจะต้องสึกให้มากไว้
หากสึกแต่น้อยแล้ว
จะเกิดปัญหาเรื่องที่อยู่ เพราะในแต่ละพรรษามีคนบวชเข้ามาจนเกือบจะไม่มีที่อยู่แล้ว
หากท่านเหล่านั้นไม่ยอมสึกสัก ๓ ปีเท่านั้นจะเกิดปัญหาทันทีเพราะคนรุ่นใหม่จะไม่มี
โอกาสได้บวช ดีไม่ดีอาจถึงกับมีการเดินขบวนเพื่อให้พระสึกกันเพื่อให้คนอื่นมีสิทธิบวช
กันบ้างก็เป็นได้
๔.การบวชแล้วสึกออกไปย่อมดีกว่าอยู่ไปในสมณเพศทั้งที่ไม่มีศรัทธา
เพราะอาจจะไปทำอะไรเสียหายขึ้นมาก็ได้ เมื่อบวชทำตัวเป็นพระที่ดี สึกไปเป็นชาวบ้าน
ที่ดี ไม่เป็นเรื่องเสียหายอันใดที่ควรแก่การตำหนิของบัณฑิตทั้งหลาย
ประเด็นที่ว่าพระมีการสะสมสมบัตินั้นเราต้องมองกันด้วยเหตุผลและความเข้าใจ
กว้างพอสมควร หมายความว่า ตัวอย่างบุคคลในเรื่องนี้มีมากพอที่เราจะกล่าวว่าพระ
สะสมสมบัติไม่ใช่เห็นคนไทยทำผิดสักคนแล้วจะพูดเหมาเอาว่าคนไทยเป็นคนเลว
อย่างนี้ก็ไม่ถูกนัก
พระสะสมสมบัตินั้นอาจมีสองกรณีด้วยกันคือ
๑.สมบัติที่คนเข้าใจว่าพระสะสมนั้นเป็นสมบัติของวัด
ซึ่งท่านมีหน้าที่รักษารับผิด
ชอบจำเป็นต้องรักษาเอาไว้ให้ดี
๒.สิ่งที่ท่านสะสมนั้นเป็นสมบัติส่วนตัวที่ได้รับจากการบริจาคของทายกทายิกาจะ
ศรัทธามากนั้น ส่วนมากจะเป็นผู้ใหญ่ที่มีคนในความรับผิดชอบที่ต้องสงเคราะห์ด้วย
อามิส คือปัจจัย ๔ นั้นมีมากเช่นเดียวกัน หากท่านไม่มีการเก็บไว้บ้างเพื่อการนี้เวลา
มีบุคคลจำต้องสงเคราะห์มาหาจะให้ทำอย่างไร?
อย่างไรก็ตามการสะสมในระดับนี้
แม้จะมีก็น้อยมาก เพราะว่าพระภิกษุในพระพุทธ
ศาสนานั้นมักจะมีเรื่องทาน จาคะ สงเคราะห์เป็นหลักปฏิบัติและขอบข่ายการสงเคราะห์
ของท่านนั้น มีขอบข่ายกว้างไกลอย่างไม่น่าเชื่อว่า
พระผู้ใหญ่จำนวนมากจะต้องรับผิด
ชอบในเรื่องเหล่านี้ถึงอย่างนั้น
การสะสมแบบนี้อาจแบ่งออกเป็นสองพวก
คือ
การสะสมเพื่อรวบรวมไว้จะได้เสียสละช่วยเหลือคนอื่นหรือบำเพ็ญกุศลตามความ
จำเป็นการสะสมแบบนี้ ไม่ควรตำหนิ แต่ควรแก่การยกย่อง
การสะสมด้วยการตระหนี่
หากว่ามีจริงๆก็ควรแก่การตำหนิอย่างมาก แต่เรื่องนี้เป็น
เรื่องที่บุคคลผู้จะตัดสินวินิจฉัยว่า ท่านสะสมประเภทใดจำเป็นต้องมองให้ตลอดสาย
ไม่ไช่ไปสร้าง "กรมประมวลข่าวลือ"
ขึ้นมาทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณของพระเถระทั้ง
หลายโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาท่านมรณภาพลงข่าวอกุศลจะเกิดขึ้นเสมอ
ในกรณีที่ท่าน
รูปนั้นมีชื่อเสียงตำแหน่งสูง พอสืบต้นตอเข้า
อ้างเขากันจนลงเหว ก็ไม่ทราบว่าเขาไหน
เป็นพฤติกรรมที่น่าอนาถใจนัก
หากว่าพระสะสมประเภทที่สองจะมีอยู่บ้าง
แต่มิได้หมายความว่าพระทั่วไปเป็นพวก
ที่ชอบสะสม เพราะปัญหานั้นไม่ได้อยู่ที่ท่านสะสมหรือไม่
แต่กลับอยู่ที่ว่าท่านจะเอาอะไร
มาสะสมต่างหาก
ในกรณีของการเกาะกินชาวบ้านนั้นเป็นการพูดแบบไม่มีความรับผิดชอบ
ส่วนมาก
คนพูดแบบนี้เกิดมาชาติหนึ่งจะเคยตักบาตรหรือเปล่าก็ไม่รู
้แต่พูดไปด้วยความริษยา
ต่อพระ เพราะคนพูดแบบนี้เข้าสูตรที่กล่าวกันว่า
๔๑.พระดีแต่เอาของชาวบ้าน ไม่ให้เขา
ไม่เหมือนชาวคริสต์ที่
พระเจ้าส่งไปให้เขา และพระไทยไม่มีความรู้
สู้บาดหลวงไม่ได้
ซึ่งสามารถสอนหนังสือได้เป็นอย่างดี
ตั้งโรงเรียน โรงพยาบาล
ได้
ข้อนี้ไม่มีลักษณะเป็นคำถามแต่เป้นคำกล่าวหาในลักษณะที่มองในแง่ร้ายและมอง
ไม่ตลอดสาย
ประเด็นแรกที่ว่าพระดีเอาของชาวบ้านนั้น
อย่างที่เคยกล่าวมาแล้วว่าเป็นการทำงาน
กันคนละหน้าที่ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่ผู้ปฏิญาณตนนับถือพระพุทธศาสนายอมรับในเงื่อนไข
เหล่านี้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงหน้าที่ให้แต่ละฝ่ายปฏิบัติต่อกัน
คือ
ชาวบ้านให้แสดง
เมตตาทางกาย วาจา ใจ จะทำพูดคิดเกี่ยวกับพระสงฆ์ให้ทำ
พูดคิดด้วยเมตตาเป็นที่ตั้ง บำรุงด้วยปัจจัย ๔
และยินดีต้อนรับเมื่อท่านไปหาที่บ้าน
พระภิกษุสามเณรมีหน้าที่จะต้องทำคือ สอนไม่ให้ทำความชั่ว
ให้ตั้งอยู่ในความดี สงเคราะห์ชาวบ้านด้วยน้ำใจอันงามให้ได้ฟังสิ่งที่ยังไม่เคยฟัง
อธิบายสิ่งที่เคยฟังแล้ว
ให้แจ่มแจ้ง บอกทางสุขทางเจริญให้ งานของพระจึงเป็นงานของผู้นำทางวิญญาณ
สติปัญญา ธรรมะ แต่ในข้อที่ว่า "สงเคราะห์ด้วยน้ำใจอันงามนั้น"
จากอดีตถึงปัจจุบัน
เป็นการแสดงให้เห็นว่าพระไม่ได้เอาแต่ของชาวบ้านเพียงอย่างเดียว
แต่พระได้ทำงาน
ในลักษณะที่เป็นการสงเคราะห์สังคมด้วยน้ำใจอันงามในด้านต่างๆ
ที่ไม่ขัดกับสมณภาวะ
เป็นอันมาก ขอเพียงใช้เหตุผลพิจารณาก็จะเห็นและทำใจให้ยอมรับได้ไม่ยากนัก
นอกจากใจจะเอียงจนไม่อาจมองเห็นความดีของคนอื่นได้
ก็เป็นเรื่องที่ช่วยอะไรไม่ได้
เหมือนกัน
สำหรับประเด็นที่ว่าไม่เหมือนชาวคริสต์ที่พระเจ้าส่งไปให้เขานั้นไม่เข้าใจว่าพูด
เรื่องอะไรกัน ถ้าจะหมายความว่าบาดหลวงในศาสนาคริสต์ช่วยคนในด้านรูปวัตถุ
พระสงฆ์ก็ทำเหมือนกันในด้านนี้ แต่ที่เราไม่ควรลืมคือ
ระบบโครงสร้างทางศาสนาไม่เหมือนกันศาสนาคริสต์มีองค์การทำงานที่มีเงินทุน
มหาศาล แม้ในเมืองไทยก็มีที่ดินจำนวนมาก ทรัพย์อันเป็นกองทุนนี้สามารถกระจายออก
ไปเพื่อทำงานในด้านต่างๆ รายได้จากโรงพยาบาล โรงเรียน
ที่ดินและผลประโยชน์ด้าน
อื่น มีมากพอที่จะทำงานแบบสงเคราะห์ทางรูปวัตถุได้ซึ่ง
หากเราจะดูในจุดใดจุดหนึ่ง
จะเห็นว่าทำได้มาก
ที่ไม่ควรลืมอีกประการหนึ่งคือเงินในลักษณะนั้น
ของพระพุทธศาสนาไม่มี เพราะ
ศาสนาพุทธมีโครงสร้างอีกอย่างหนึ่ง หากพระจะจัดผลประโยชน์แบบนั้นศาสนาพุทธ
ก็ดำรงอยู่ไม่ได้ เพราะความรู้สึกยอมรับฐานะของชาวพุทธกับชาวคริสต์ต่อศาสนาของ
ตนแตกต่างกัน
งานที่ศาสนาคริสต์ทำจึงเป็นงานที่ควรอนุโมทนา
แต่อย่าลืมว่าในจำนวนประชากร
ประมาณ๔๕ล้านคนนั้นนับถือศาสนาพุทธถึง ๙๕ เปอร์เซ็นต์
แต่นับถือศาสนาคริสต์
ประมาณ๓แสนคนเท่านั้นเอง (ปี๒๕๓๔) เคยคิดกันหรือเปล่าว่า
งานที่ชาวพุทธทั้งที่
เป็นพระและฆราวาสทำต่อสังคม ในทางที่เป็นประโยชน์เกื้อกูลต่อสังคมในรูปแบบต่างๆ
นั้นมีมากมายขนาดไหน เพราะเราทำกันทุกวันและทำกันทั่วประเทศ
บัณฑิตที่แท้จริงนั้น
เมื่อยอมรับความดีของคนอื่นได้ ก็ต้องรับความดีของอีกฝ่ายหนึ่ง
ได้เช่นกัน การยกย่องหรือตำหนิใครโดยขาดข้อมูลที่ถูกต้องนั้น
บัณฑิตไม่ควรทำเพราะ
จะเป็นการสร้างความผิดซ้ำซ้อนขึ้นมาในวิถีชีวิตของตนโดยไม่จำเป็น
ประเด็นที่ว่าพระไทยไม่มีความรู้สู้บาดหลวงไม่ได้ซึ่งสามารถสอนหนังสือได้เป็น
อย่างดีนั้น เป็นลักษณะของคำกล่าวหาเช่นเดียวกับข้อก่อนๆ
โดยไม่มองข้ามข้อเท็จจริง
ที่มีอยู่เป็นอยู่ ว่าที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร
แน่นอนพระไทยนั้นมีความรู้ในเรื่องที่
บาดหลวงควรรู้สู้บาดหลวงไม่ได้ แต่อย่าลืมว่าบาดหลวงก็รู้สู้พระสงฆ์ในเรื่องที่พระสงฆ์
ควรรู้ไม่ได้ การกล่าวเปรียบเทียบในลักษณะนี้เหมือนเอาความรู้ของทหารกับตำรวจมา
เปรียบเทียบกัน คนเขาเรียนมาคนละอย่างจะไปเปรียบเทียบกันได้อย่างไร
ประเด็นของการสอนนั้น คงลืมไปว่างานให้การศึกษาแก่กุลบุตร กุลธิดานั้นทางโลก
เพิ่งนำมาจัดเองประมาณ๗๐ปีมานี้เอง เมื่อก่อนนั้นงานสอนทั้งหมดอยู่ในมือพระสงฆ์
ทั้งนั้น พระสงฆ์ในปัจจุบันนั้นสำหรับท่านที่บวชมานานพอสมควรท่านก็สามารถสั่งสอน
ได้ในขอบข่ายของลักษณะวิชาอันท่านได้ศึกษามา
ทำไมจึงพูดว่าบวชมานานพอสมควรเล่า
?
เพราะเมื่อรักจะพูดเรื่องพระ
เราต้องยอมรับความจริงในสังคมพระก่อน ว่าพระสงฆ์
ในประเทศไทยมีโครงสร้างทางสังคมเป็นอย่างไร ไม่ใช่มาหลงเพ้อฝันด้วยตัวเลขที่สร้าง
ขึ้นหลอกและปลุกปลอบตนเองว่าพระสงฆ์ในเมืองไทยมีจำนวน๓๐๐,๐๐๐รูป
ซึ่งเป็นสถิติ
ของพระในพรรษา ออกพรรษาแล้วจะเหลือถึง๒๓๐,๐๐๐รูปหรือเปล่าในจำนวนพระ
เหล่านั้น เราต้องยอมรับว่าในเมืองไทย
เราใช้ระบบนำคนไม่รู้ศาสนาเข้ามาบวช
เพื่อศึกษาหลักธรรมในศาสนาซึ่งเป็นการบวชแบบระบบหมุนเวียนส่วนมากแล้ว
จะหมุนวนอยู่ระหว่าง ๗ วัน ถึง ๓ เดือน มากที่สุด
ซึ่งเราจะหวังให้พระเหล่านี้ไปทำงานศาสนาคงเป็นไปไม่ได้
เพราะยังอยู่ในวัยที่ต้อง
ศึกษา พระประเภทนี้เรามีหมุนเวียนกันอยู่ไม่น้อยกว่า๖๕เปอร์เซ็นต์
เมื่อเราตัดพระที่เป็นหลวงตาแก่ๆและท่านผู้เฒ่าซึ่งไม่สะดวกในการสอนหนังสือ
แต่ท่านอาจสอนด้วยการแนะนำสนทนากัน ตลอดถึงการเทศน์เป็นต้นออกไปแล้ว
เรามีพระไม่น้อยกว่า๓๐เปอร์เซ็นต์ของจำนวนพระภิกษุสามเณรทั้งหมด
ที่อาจทำงานใน
ด้านการสอนหนังสือตามโรงเรียนได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ทำไมพระจึงไม่สอนหนังสือใน
โรงเรียนเล่า ?
อันที่จริง
พระเรานั้นอยู่ในฐานะที่พร้อมทั้งด้านความรู้ บุคคล ความตั้งใจ
ความเสียสละ แต่เพราะค่านิยมในสังคม
ที่คนบางพวกคิดว่าพระไม่รู้เรื่องศาสนา แม้แต่
งานที่พระน่าจะทำ ก็จัดให้ครูที่ไม่เคยเรียนเรื่องนี้มาโดยตรง
ทำหน้าที่นี้เสียเองจนบาง
ครั้ง การกำหนดหลักสูตรทางศีลธรรมของกระทรวงศึกษาธิการออกมาเชยๆ
ในสายตา
นักธรรมะอยู่เสมอไป
แม้ในปัจจุบันก็มีอยู่หลายเรื่องสังคมปฏิเสธพระว่าพระไม่ควรจะ
สอนหนังสือเด็ก เพราะกลัวจะคลุกคลีกับศิษย์ โดยเฉพาะที่เป็นหญิง
กระทรวงศึกษาธิการ
เองเคยดำริอยู่เสมอ ในการที่จะให้พระเข้ามีบทบาทในการสอน
แต่ถูกคัดค้านจากด้าน
ต่างๆและความฝังใจในอดีตของตนเลยต้องระงับไปทุกคราว
เมื่อปิดประตูไม่ให้พระแสดงความรู้ความสามารถในด้านการสอนเสียเช่นนี้แล้วก็
มาตำนหนิว่าพระสอนไม่ได้เพราะไม่รู้ ใครไม่รู้กันแน่
?
แม้ว่าจะถูกปิดประตูแบบนี้ก็ตามปัจจุบันนี้พระภิกษุสงฆ์ได้สร้างงานขึ้นด้วยการเปิด
โรงเรียนพระพุทธศาสนาวันอาทิตย์ หน่วยพระธรรมวิทยาการโรงเรียนบาลีสามัญมี
นักเรียนในความรับผิดชอบเป็นอันมาก แต่งานพระไม่ค่อยมีการประชาสัมพันธ์จึงไม่ค่อย
ทราบกันกว้างขวาง ทำให้คนใจบอดคอยค่อนขอดอยู่เสมอว่าพระไม่ทำงานอะไรไม่มี
ความรู้จนถึงขี้เกียจก็ขอให้เป็นสุขๆเถิดอย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
แม้ว่าพระจะไม่ได้สอนในโรงเรียนอย่างเมื่อก่อน
แต่โรงเรียนที่เรียนกันอยู่ในปัจจุบัน
นั้นไม่ว่าจะอยู่ในวัดหรือนอกวัดก็ตาม ใครจะปฏิเสธเล่าว่าพระไม่ได้มีส่วนอย่างสำคัญ
ในการสร้างขึ้นและสนับสนุนในด้านต่างๆ โรงพยาบาลก็ทำนองเดียวกันโรงพยาบาล
ของรัฐเกือบทุกแห่ง พระสงฆ์ในพระพุทธศาสนาเข้าไปมีบทบาทร่วมในการสร้าง
การบำรุงมากบ้างน้อยบ้างทั่วประเทศไทย
อย่าลืมว่างานการสั่งสอนการรักษาพยาบาลโรคกายใจ
โดยเฉพาะในต่างจังหวัด
นั้นยังเป็นงานหลักของพระอยู่แม้ในปัจจุบัน งานของพระก็คืองานของพระ
งานของทหาร
ก็คืองานของทหาร จะให้เหมือนกันย่อมไม่ได้ แม้งานของบาดหลวงที่ยกมาก็มีลักษณะ
เช่นเดียวกัน ขอให้ทุกคนยืนอยู่ในจุดอันเป็นความรับผิดชอบของตนเองให้ดีเถิดและ
ทุกอย่างในพระศาสนา ประเทศชาติ สังคมก็จะดีขึ้นเอง
ที่เกิดยุ่งๆกันอยู่เพราะคน
ไม่ค่อยสนใจทำงานของตน แต่พยายามเกณฑ์ให้คนอื่นทำอย่างนั้นอย่างนี้นั่นเอง
"หากคนมองตนให้มาก
มองคนอื่นเพื่อเตือนตนพิจารณาตรวจสอบตนกันให้มาก"
อะไรๆก็จะดีขึ้นไม่น้อยทีเดียว.
๔๒.พระทำไมจึงเดินสูบบุหรี่อันเป็นของเสพติดและมีเครื่อง
บำรุงกิเลส เช่น วิทยุ โทรทัศน์
?
เรื่องพระเดินสูบบุหรี่นั้นถือว่าเป็นมารยาทที่ไม่สมควร
ท่านถือเป็นเรื่องควรตำหนิ
อันที่จริงพระอุปัชฌายะอาจารย์ ท่านก็อบรมตักเตือนสั่งสอนกันอยู่
การที่บางรูปยังมี
การประพฤติอันไม่ควรอยู่ หากเราจะมองกันด้วยเมตตาจิตและเหตุผลแล้วก็จะได้หลัก
ที่ควรสังเกตดังนี้
๑.พระเป็นลูกชาวบ้านที่มีพื้นฐานทางสังคมไม่ถือว่าการเดินสูบบุหรี่เป็นเรื่องเสียหาย
เป็นความเคยชินที่ติดมาจากสมัยเป็นฆารวาส ซึ่งส่วนมากพระที่ติดบุหรี่จะติดมาก่อน
บวช ท่านบวชมาไม่นาน ย่อมไม่อาจละความเคยชินเช่นนั้นได้
เพราะศาสนาไม่ใช่บ่อ
ทองที่พอคนลงไปในบ่อแล้วจะกลายเป็นทองไปทันที
อย่างพระสังข์ทองแต่เป็นเรื่องที่ ค่อยๆขัดเกลากันไปจะทำได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับความหยาบ
ประณีตของนิสัย
ของแต่ละรูป
๒.ทางศาสนาเองไม่อาจจะสงเคราะห์เข้าในพระวินัยข้อใดข้อหนึ่งตามที่ทรงบัญญัติ
ไว้ได้ เพราะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นใหม่ หากจะจัดก็จัดเข้าในข้อว่าด้วย
สุราเมรัย แต่โทษ
ของบุหรี่ไม่ถึงกับเมรัย ซึ่งเป็นข้อห้ามขั้นต่ำสุดในด้านยาเสพติด
ผิดกับยาเสพติดประเภท
อื่น เช่น เฮโรอีน ฝิ่น กัญชา ซึ่งมีโทษมากกว่าเมรัย
สุรา ท่านก็ห้ามไม่ได้เลย
เมื่อเป็นเช่นนี้การรู้จักสำรวมระวังเป็นหน้าที่ของพระ การมองด้วยความเมตตาและ
เข้าใจในเหตุผลจึงเป็นเรื่องที่คนทั้งหลายควรมี
ส่วนวิทยุและโทรทัศน์เป็นต้นนั้น
เป็นปัญหาทางพระวินัยที่พระจะต้องสำรวมระวัง
เอาเอง การมีไว้ในครอบครองไม่ถือว่าเป็นความผิดเพราะหลักความจริงแล้ววิทยุ
โทรทัศน์เป็นสื่อสารมวลชนที่มีประโยชน์มาก การฟังการดูของพระเป็นเรื่องที่ท่าน
ต้องวินิจฉัยเอาเองว่าอะไรควรอะไรไม่ควร ท่านขืนดูขืนฟังในเรื่องที่ขัดกับพระวินัย
ท่านก็ต้องอาบัติเหมือนกับพระเดินไปบนถนน ผ่านสถานที่เป็นอันมาก
ท่านต้องเลือก
เอาเองว่าสถานที่ใดเข้าไปแล้วผิดพระวินัยหรือไม่ผิดพระวินัย
การจะห้ามมิให้พระ
ออกไปนอกถนนเพราะถือว่ามีสถานที่ไม่เหมาะสมมาก
ทำไม่ได้ฉันใดการห้ามพระไม่
ให้มีวิทยุอันเป็นสื่อให้เกิดความรู้หรือเกิดบาปก็ได้
จึงไม่อาจทำได้ฉันนั้นตามหลักพระ
วินัยแล้ว
"การดูการฟังอย่างไร มีความสำคัญกว่าการดูการฟังอะไร"
อันวิสัยของบันฑิตนั้นอาจมองสาวๆกำลังนอนหลับให้เป็นซากศพไปได้แต่พาลชน
อาจมองซากศพเป็นสาวๆไปได้เช่นเดียวกัน
สมณสัญญาคือการระลึกว่าตนเป็นสมณะแล้วปฏิบัติกระทำไปในทางที่เหมาะสมแก่
สมณภาวะ เป็นภาวะที่ภิกษุผู้บวชมาจะต้องตระหนักและใช้โยนิโสมนสิการด้วยตนเอง
นี้เป็นกรณียกิจของนักบวชในศาสนาต่างๆ