๔๓.วัดไทยมีมากเกินไป แต่ละวัดก็ใช้เนื้อที่มากสำหรับสร้าง
วัด ทำให้ที่ดินสำหรับผลิตผลทางเศรษฐกิจสิ้นเปลืองไปโดย
ไม่สมควร พระก็มีมากเกินไป ทำให้เป็นภาระแก่ประชาชน
มากไม่เหมือนวัดคริสต์และบาดหลวง.
        เอากันอย่างนั้นเลยเชียวหรือ ?
        วัดนั้นเป็นศาสนาสถานหรือศาสนาจักรเป็นสมบัติของสาธารณชนทุกคนเป็น
เจ้าของวัดนั้นๆ เพราะใช้ร่วมกันเหมือนกับสถานที่ราชการของฝ่ายอาณาจักร เป็นสมบัติ
ของชาติบ้านเมือง จำนวนวัดเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนของประชากรและประชาคมที่เพิ่มขึ้น
เพื่อตอบสนองความต้องการทางสังคมที่กระจายออกไปมากขึ้นทุกที
        เมื่อเราเทียบตามสถิติจำนวนประชากรกับพระสงฆ์แล้ว จำนวนพระกลับน้อยอย่างน่า
วิตก ปัจจุบันวัดต่างจังหวัดเป็นอันมาก ที่พระจำพรรษาไม่ครบ ชาวบ้านต้องการทำบุญ
ต้องเที่ยวนิมนต์พระกันหลายๆวัดจึงจะได้ครบตามที่ต้องการ จำนวนพระในเมืองไทย
นั้นเราเคยพูดกันมานานแล้วว่าประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ รูป อันเป็นสถิติภายในพรรษา
ปัจจุบันก็คงเป็นอย่างนั้นอยู่ ทั้งๆที่ประชาชนได้เพิ่มขึ้นไปเป็นอันมากภาระในการบำรุง
นั้น เมื่อเราเปรียบกับจำนวนประชากรแล้วจะพบว่าชาวบ้านประมาณ ๒๐๐ คน รับภาระ
ในการบำรุงพระเพียง ๑ รูป เป็นงานที่ผู้มีศรัทธาและเห็นประโยชน์ในด้านนี้จะไม่มีความ
รู้สึกว่าหนักอะไรเลย
        ในด้านที่ดินซึ่งเสียผลในด้านผลิตกรรมทางเกษตรเป็นต้นนั้น เมื่อวัดเป็นสาธารณ
สถานทางศาสนาเป็นสมบัติของคนในชาติ จึงไม่มีความจำเป็นอะไรที่จะพูดกันเพราะ
ความเป็นชาตินั้นหาได้มีเฉพาะที่ทำกินเพียงอย่างเดียวไม่ เราต้องสร้างบ้าน ป่าสงวน สถานที่ทางศาสนา ราชการ ที่พักผ่อนหย่อนใจเป็นต้น
        วัดมีลักษณะของศาสนาสถาน ที่พักผ่อน ที่ประชุม สถานศึกษา
        จึงไม่น่าจะมาพูดในประเด็นนี้
        ส่วนเรื่องวัดคริสต์ศาสนานั้น สำหรับเมืองไทยแล้วใช่ เพราะคนไทยนับถือคริสต์
ไม่เกิน ๓ แสนคน ทั่วประเทศ หากต้องการจะเปรียบเทียบจริงๆ แล้วลองอ่าน
ประวัติศาสตร์ของฝรั่งเศส ก่อนการปฏิวัติสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๖ ดูเถิด จะทราบว่าอะไร
เป็นอะไรหรือจะดูประวัติศาสตร์ของประเทศยุโรปยุคกลางก็จะเข้าใจดียิ่งขึ้น.

๔๔.พระอรหันต์มีจริงหรือไม่ บางคนเข้าใจว่าเป็นเรื่องปั้นขึ้น
เพื่อให้คนเห็นเป็นอัศจรรย์แล้วเลื่อมใสในศาสนา ?
        อ้าวทำไมพูดอย่างนั้นละ ?
        การพูดเช่นนี้ออกไม่ค่อยดีนัก สำหรับคนที่ประกาศตนเป็นพุทธศาสนิกเพราะว่า
พระอรหันต์เป็นบุคคลที่บรรลุผลสูงสุดในพระพุทธศาสนามีตัวอย่างบุคคลผู้ใด้บรรลุ
ในระดับนี้ให้รู้ให้เห็นกันในประเทศต่างๆ ไม่ใช่มีเฉพาะอินเดียประเทศเดียวเท่านั้น
การพูดในทำนองปฏิเสธจึงเป็น
        มิจฉาทิฏฐิ ข้อที่ปฏิเสธว่าไม่มีสมณะ พราหมณ์ ผู้ปฏิบัติชอบ
        อริยุปวาท คือการกล่าวตู่พระอริยเจ้าไม่เป็นมงคลเลยจริงๆ
        แต่เอาเถอะ เมื่ออ้างว่าเป็นคำกล่าวของคนอื่นจะได้ให้ข้อสังเกต เพื่อเป็นเครื่องพินิจ
พิจารณาด้วยการอาศัยสติปัญญาระดับธรรมดาๆก็จะเกิดความเข้าใจและยอมรับ
        ความเป็นพระอรหันต์ท่านกำหนดกันด้วยอะไร  ?
        ความเป็นพระอรหันต์นั้น ท่านกำหนดเอาที่ความเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจของ
ผู้ปฏิบัติตามอริยมรรคมีองค์ ๘ ประการ จนสามารถละสังโยชน์คือกิเลสที่ผูกใจสัตว์ออก
ได้สิ้นเชิงคือ
          ละความเห็นเป็นเหตุถือตัวถือตน
        ความลังเลสงสัยในเรื่องต่างๆ
        การถือเรื่องขลัง ศักดิ์สิทธิ์ ข้อวัตรปฏิบัติต่างๆ อย่างขาดเหตุผล
        ความกำหนัดรักใคร่ในรูปเสียงเป็นต้น
        ความไม่พอใจกระทบกระทั่งทางใจ
        ความหลงติดในรูปธรรมและรูปฌาน
        ความยึดติดในนามธรรมและอรูปฌาน
        ความถือตัวถือตนยกตนข่มท่าน
        ความคิดพล่านขาดความสงบทางจิต
        ความหลงงมงายไม่รู้จริง
        ให้สังเกตว่าสังโยชน์เหล่านี้ แม้แต่คนธรรมดาความรู้สึกในลักษณะต่างๆที่กล่าวมา
นี้ไม่ได้ครอบงำบังคับจิตใจคนอยู่ตลอดเวลา คนธรรมดาๆจึงมีความรู้สึกเหล่านี้มาก
น้อยแตกต่างกัน เมื่อบุคคลเหล่านี้หันมาฝึกฝนจิตไปตามหลักที่ทรงแสดงไว้จะพบว่า
ท่านเหล่านั้นมีความรู้สึกเช่นนั้นเบาบางลง ผิดจากสามัญชนลงไปมากซึ่งอาจสังเกต
ได้ทั้งจากนักบวชและชาวบ้านที่ปฏิบัติธรรม
        หากท่านปฏิบัติไปตามหลักการและวิธีการที่ทรงแสดงไว้จึงไม่น่าสงสัยว่าท่านจะ
ละกิเลสเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปไม่ได้
        อีกประการหนึ่งหากว่ามรรคผลในพระพุทธศาสนาไม่มีอยู่จริงแล้ว นักปราชญ์ คณาจารย์ในสมัยพุทธกาลและสมัยต่อๆมาเป็นอันมาก คงไม่ยอมสละฐานะตำแหน่ง
ของท่านมาบวชเป็นภิกษุในพระพุทธศาสนาหรอก
        ในสายตาของชาวบ้านนั้น ความมั่งคั่งด้วยทรัพย์สมบัติตำแหน่ง ยศ เป็นสิ่งที่
พึงปรารถนาของทุกคน แต่ตามประวัติที่บันทึกไว้ในที่ต่างๆ ปรากฏว่าพระราชา
เศรษฐีเป็นอันมาก ยอมสละความสุขในการปกครองเรือนเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา
เขาจะสละทำไม หากไม่มีสิ่งทีดีกว่าสมบัติเหล่านั้น ?
        พระอรหันต์เป็นผลที่เกิดขึ้นจากการปฏิบัติอย่างมีขั้นตอน ทรงแสดงไว้โดยละเอียด
ทั้งได้บอกผลที่คนจะพบเห็นได้ในระหว่างทางที่ก้าวเดินไป เพื่อความเป็นพระอรหันต์ คน
ที่ต้องการพิสูจน์จึงไม่ยากเย็นอะไรที่จะพิสูจน์ดูว่ามีจริงหรือไม่
        "การปฏิเสธเรื่องอะไรก็ตามควรทำหลังจากตนที่ตนได้พิสูจน์ทดสอบตามกรรมวิธีที่
ท่านแสดงไว้เสียก่อน ไม่ใช่ทำแบบคนตาบอด
        ปฏิเสธความมีอยู่ของสีต่างๆ โดยอาศัยเหตุเพียงตนไม่เห็นอย่างเดียวทำเช่นนั้น
ออกจะไร้เหตุผลมากไป"
        จากอดีตกาลถึงปัจจุบัน คนระดับปัญญาชนในประเทศต่างๆได้สละความสุขส่วนตน
เพื่อมุ่งผลที่เกิดจากความสงบจากกิเลส ไม่อาจจะนับจำนวนได้ หากท่านไม่ได้สัมผัส
ส่วนใดส่วนหนึ่งแห่งความสงบบ้างแล้ว ท่านคงไม่ทรมานกายให้ได้รับความลำบากอยู่
หรอก
        พระอรหันต์นั้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นพระอรหันต์พระองค์แรกในพระศาสนานี้ การ
ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะอาสวะทั้งหลายที่พระอรหันต์ควรละได้ พระองค์
ทรงละได้แล้ว ถือเป็นเวสารัชญาณคือพระญาณที่ทำให้พระองค์ทรงกล้าหาญปฏิญาณ
ตนออกไปเช่นนั้นประการหนึ่ง
        ในโลกนี้ไม่มีใครน่าเชื่อถือมากกว่าพระพุทธเจ้า หากไม่เชื่อพระพุทธเจ้าแล้วก็ไม่
ทราบว่าควรจะเชื่อใครได้อีกแล้ว
        พระพุทธศาสนานั้นไม่มีเหตุผลอันใดที่ต้องปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกคน
        หลักธรรมในพระพุทธศาสนาเป็น
        เอหิปสสิโก คือ เชิญชวนให้มาพิสูจน์ทดสอบได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะโดยใคร? ที่ไหน?
เมื่อไร? ย่อมพิสูจน์ได้เพราะว่าหลักธรรมนั้นเป็น
        อกาลิโก ไม่ประกอบด้วยกาล คือ ไม่ถูกกำหนดด้วยกาลเวลาแต่ประการใด
ขอเพียงแต่บุคคลได้
        โอปนยิโก น้อมนำพระธรรมมาปฏิบัติ โดยสมควรแก่ธรรมแล้ว เขาเหล่านั้นจะ
เข้าถึง
        สนทิฏฐิโก คือ ประจักษ์ชัดซึ่งผลแห่งธรรมด้วยตนเอง เหมือนคนบริโภคอาหารแล้ว
รู้รสของอาหารด้วยตนเอง เพราะว่าพระธรรมนั้น เป็น
        ปจจตตํ เวทิตพโพ วิญญูหิ อันวิญญูชนจะรู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น
       ความมีอยู่ของพระอรหันต์บุคคลก็อาจจะยอมรับนับถือเชื่อโดยวิธีดังกล่าวแล้ว
เช่นกัน.